Confluence คืออะไร? การวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบหลายปัจจัยร่วมกัน

Confluence คือการที่ปัจจัยหลายอย่างทั้ง Indicator, Price Action และ Demand Zone ส่งสัญญาณซื้อขายในทิศทางเดียวกัน

ในการเทรด Forex แต่ละครั้ง แค่เทรดเดอร์เจอสัญญานเข้าเทรดครั้งหนึ่งก็ดีใจมากแล้วใช่ไหหมล่ะครับ…แต่จะดีกว่าไหม? ถ้าสัญญาณเทรดจากปัจจัยอื่นๆ บ่งชี้พร้อมๆ กันให้เข้าเทรด ความมั่นใจของเราก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกแน่นอน และในบทความนี้จะมาพูดถึงเรื่อง “Confluence” กันครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • Confluence คือการส่งสัญญาณการซื้อขายในทางเดียวกันจากปัจจัยทางเทคนิคหลายอย่าง เช่น อินดิเคเตอร์, Price Action และแนว Supply/Demand
  • องค์ประกอบหลักที่นิยมใช้ในการสร้าง Confluence ได้แก่
    • อินดิเคเตอร์ ซึ่งให้สัญญาณเชิงตัวเลข
    • โซน Supply/Demand ที่เป็นโซนราคาแสดงแรงซื้อขายในอดีต (คล้ายแนวรับแนวต้าน)
    • Price Action สังเกตรูปแบบแท่งเทียนและการเคลื่อนไหวของราคา
  • ข้อดีของการใช้ Confluence คือเพิ่มความแม่นยำ, ลดการเทรดตามอารมณ์, มีแผนเทรดชัดเจนและใช้ได้กับทุกสไตล์การเทรด
  • ในขณะที่ข้อควรระวังคือการเกิดสัญญาณขัดกัน, เสียโอกาสหากต้อองรอนานเกิน, การวิเคราะห์ที่ซับซ้อนเกินไป (Over-analysis) และยังคงต้องบริหารความเสี่ยงเสมอ

Confluence คืออะไร?

  • ถ้าในบริบทของการเทรด Confluence หมายถึงจุดที่เครื่องมือ/ข้อมูลทางเทคนิคหลายปัจจัยให้สัญญาณการซื้อขายไปในทิศทางเดียวกัน
  • พูดง่ายๆ คือการที่มีสัญญาณการซื้อขายเกิดขึ้นจากปัจจัยทางเทคนิคหลายอย่าง ทั้ง อินดิเคเตอร์, Price Action, ระดับราคา ทุกอย่างบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าให้ Buy หรือ Sell
  • ยกตัวอย่างให้เข้าใจมากขึ้น
    • สมมติว่าราคามาถึง โซน Demand + เกิดแท่งเทียนกลับตัวแบบ Bullish Engulfing + ค่า RSI อยู่ในโซน Oversold
    • 3 ปัจจัยนี้บ่งบอกถึง โอกาสที่ราคาจะดีดขึ้น โดยมีน้ำหนักสูงมากเพราะสัญญาณทั้ง 3 บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกัน
Confluence คือการเกิดสัญญาณจากปัจจัยทางเทคนิคั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Indicators, รูปแบบ Price Action, บริเวณ Supply/Demand และอื่นๆ บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันเกี่ยวกับสัญญาณซื้อ/ขาย

องค์ประกอบหลักของ Confluence ที่นิยมใช้

ที่พูดมาว่าหลายๆ ปัจจัย หลายๆ สัญญาณ มันจากอะไรบ้างนะ? และนี่ก็คือปัจจัยทางเทคนิคแต่ละอย่างที่ส่วนมากคนนิยมใช้บ่งชี้สัญญาณเข้าเทรดได้จนทำให้เกิด Confluence นั่นเองครับ

1. Indicator

  • เทรดเดอร์หลายคนน่าจะค้นเคยและรู้จักอย่างดีกับ อินดิเคเตอร์(Indicator) เครื่องมือทางเทคนิคที่มีหลากหลายประเภทการใช้งาน
  • วัตถุประสงค์ของอินดิเคเตอร์แต่ละตัวก็เพื่อใช้บ่งบอกสัญญาณต่างๆ ในตลาด Forex นั่นแหละ รวมถึงสัญญาณการเข้าเทรดด้วย
  • อินดิเคเตอร์พื้นฐานที่เทรดเดร์นอยมใช้ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหนก็ตาม เช่น Moving Average, MACD, RSI เป็นต้น

2.แนว Supply/Demand

  • Supply/Demand คือโซนราคาที่มีแรงซื้อ (Demand) หรือแรงขาย (Supply) อย่างชัดเจนในอดีต มันคือช่วงหรือกรอบราคา (Zones) มากกว่าที่จะเป็นระดับราคาเดียวซึ่งแตกต่างจากแนวรับ/แนวต้านที่เป็นระดับราคาที่ชัดเจน
  • Supply Zone คือบริเวณที่คาดว่าจะมีแรงขายจำนวนมากรออยู่ ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะถูกกดลงเมื่อเข้าสู่โซนนี้ (คล้ายกับแนวต้าน)
  • Demand Zone (โซนอุปสงค์) คือ บริเวณที่คาดว่าจะมีแรงซื้อจำนวนมากรออยู่ ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่โซนนี้ (คล้ายกับแนวรับ)

3. Price Action

  • ส่วน Price Action คือการสังเกตรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกสัญญาณบางอย่าง เช่น
    • การเกิด Pin Bar แบบไส้ยาว อาจบ่งบอกสัญญาณการกลับตัวขึ้นหรือลงของราคา
    • การเกิด Engulfing หรือแท่งเทียนล่าสุดที่กลืนกินแท่งก่อนหน้า บ่งบอกการกลับตัว
    • รวมถึงการ Breakout, Pullback ต่างๆ คือสัญญาณจาก Price Action ทั้งสิ้น
ปัจจัยทางเทคนิคที่เทรดเดอร์ Forex นิยมใช้เพื่อให้เกิด Confluence ได้แก่ Indicators (รวมเครื่งมือการตีเส้น-วาดกรอบด้วย), โซน Supply/Demand คล้ายแนวรับ/แนวต้านแต่กว้างกว่าและการสังเกต Price Action

วิธีใช้ Confluence ในกราฟจริง

ลองมาดูตัวอย่างสถานการณ์จริงของการเกิด Confluence กันบ้างครับ โดยในตัวอย่างนี้ ทีมงานจะใช้องค์ประกอบคือ อินดิเคเตอร์(RSI, SMA 200) + โซน Supply/Demand (กรอบสี่เหลี่ยม) + Price Action มาดูกันว่าจะเกิด Confluence ยังไงบ้าง

จากตัวอย่างในรูปภาพ Confluence ประกกอบไปด้วย Indicators (เส้น SMA 200 + RSI) Demand Zone และการสังเกต Price Action จากพฤติกรรมแท่งเทียนย่างการ Breakout
  • จากรูปกรอบสี่เหลี่ยมสีฟ้า แสดงถึงโซน Demand ที่ราคาเคยมีการดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอดีต บ่งชี้ว่าเป็นบริเวณที่มีแรงซื้อ (Buy) สะสมอยู่
  • เส้น SMA 200 ทำหน้าที่เป็นแนวรับ/แนวต้าน แบบไดนามิก + RSI ที่เอาไว้ดูระดับ Overbought / Oversold
  • จากตัวอย่างจะเห็น Confluence ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ราคาทะลุโซน Demand ลงมา (วงกลม)
    • การทะลุโซน Demand (Price Action + โซน): แรงขายที่แข็งแกร่งสามารถทะลุโซน Demand ที่เคยเป็นแนวรับสำคัญลงมาได้ สังเกตจากแท่งเทียนที่ใหญ่และยาว
    • SMA 200 เป็นแนวต้าน (Indicator + แนวโน้ม): หลังจากทะลุลงมา ราคาไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ SMA 200 ได้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวต้าน จากนั้นราคาก็ทะลุโซน Demand ลงไป เป็นการยืนยันแนวโน้มขาลง
    • RSI Oversold (Indicator): แม้ RSI จะอยู่ในภาวะ Oversold ซึ่งปกติอาจนำไปสู่การดีดตัว แต่ในกรณีนี้ แรงขายที่แข็งแกร่งยังคงกดดันราคาลงต่อ ทำให้สัญญาณ Oversold ไม่สามารถต้านทานแนวโน้มขาลงได้
    • สังเกตที่ RSI ได้ทะลุระดับ 30 ลงมาเมื่อทะลุโซน Demand จากนั้นก็กลับขึ้นไปเหนือระดับ 30 แต่กราฟราคากลับไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปเท่ากับระดับก่อนหน้าที่ RSI จะลงไป Oversold ได้ นั่นเป็นสัญญาณที่สำคัญและบ่งบอกถึง ความอ่อนแอของแรงซื้อ(Buy)
  • ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนเพียงพอต่อการเข้า Sell ได้ครับ อาจจะเข้าตั้งแต่ช่วงที่หลุด Demand Zone หรือเข้าช่วงที่ RSI ไม่ Oversold แล้ว (ช่วงกราฟพักตัว)

ข้อดีและข้อควรระวังของการใช้ Confluence

ทีนี้เรามาดูกันบ้างว่าการเกิด Confluence มันข้อดีและประโยชน์ยังไงต่อเทรดเดอร์รวมถึงปัจจัยอะไรบ้างที่เทรดเดอร์ควรต้องระวัง

ข้อดี

  1. ความแม่นยำในการเทรดเพิ่มขึ้น: แน่นอนว่าการมีปัจจัยทางเทคนิคหลายอย่างชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยกรองสัญญาณรบกวนและเพิ่มความน่าจะเป็นของสัญญาณที่ถูกต้องมากขึ้น
  2. ลดการเทรดตามอารมณ์: ปัจจัยแต่ละอย่างที่เรานำมาวิเคราะห์ทั้ง อินดิเคเตร์, โซน Supply/Demand, Price Action ล้วนแล้วแต่ต้องใช้การวิเคราะห์ด้วยเหหตุผลทั้งสิ้น จึงตัดอารมณ์ในการเทรดอกไปได้เยอะมาก
  3. มีแผนเทรดที่ชัดเจน: เทรดเดอร์จะรู้จุดเข้าเทรด จุดวาง Stop Loss และ Take Profit อย่างชัดเจน
  4. ใช้ได้กับทุกสไตล์เทรด: ไม่ว่าจะเป็นการเทรดแบบ Scalping, Swing หรือ Position สามารถใช้การ Confluence ในการวิเคราะห์ได้เหมือนกัน

ข้อควรระวัง

  1. สัญญาณขัดกัน: แน่นอนว่าต้องมีสักวันที่สัญญาณจากแหล่งต่างเกิดขัดกัน ไม่บ่งชี้ไปในทิศเดียวกัน เช่น บางครั้ง Indicator บอกสัญญาณให้ Buy แต่ Price Action บอกให้ Sell กรณีนี้แนะนำให้อย่าเข้าเทรดดีกว่าครับ
  2. เสียโอกาส: เป็นปัจจัยต่อเนื่องจากข้อที่ 1 เลย ยิ่งถ้า Confluence ของเรามีปัจจัยหลายปัจจัยเกิน การรอให้เกิด Confluence ที่สมบูรณ์แบบอาจทำให้พลาดโอกาสในการเข้าเทรดในช่วงต้นของแนวโน้ม
  3. Over-analysis: บางคนอยากเน้นชัวร์จึงใช้ปัจจัยในการวิเคราะห์เต็มไปหมด ซึ่งมันอาจนำไปสู่การวิเคราะห์ที่ซับซ้อนเกินจำเป็น และอาจพลาดสัญญาณที่ชัดเจน
  4. ยังคงต้องบริหารความเสี่ยง: แม้ว่าเราจะเน้นให้เกิดสัญญาณบ่งชี้หลายปัจจัย แต่ Confluence ก็ไม่ได้การันตีกำไร 100% เสมอไป การจัดการความเสี่ยงยังคงจำเป็นต่อการเทรดเสมอ

 

 

การเทรดโดยใช้ Confluence มีข้อดีหลายอย่างเช่น การเทรดแต่ละครั้งจะเพิ่มความแม่นยำในการทำกำไรเนื่จากมีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนจากหลายแหล่งแต่ก็ต้องระวังในบางครั้งหหหากสัญญาณจากแหล่งต่างๆ เกิดขัดกันเอง

วิดีโอเกี่ยวกับ Confluence

วิดีโอนี้กำลังพูดถึงอินดิเคเตอร์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Inverse Fair Value Gaps (IFVG) โดยเทรดเดอร์คนนี้จะมาสอนใช้อินดิเคเตอร์ตัวนี้ควบคู่กับ Break of Structure (BOS) โดย 2 ตัวนี้จะเป็น Confluence ที่เพียงพอแล้วสำหหรับการเทรด

  • Focus นาทีที่ 02:39 แนะนำ Inverse Fair Value Gaps (IFVG)
  • Focus นาทีที่ 05:38 วิธีใช้ Inverse Fair Value Gaps (IFVG)
  • Focus นาทีที่ 08:39 การใช้งานในแต่ละ Timeframes
  • Focus นาทีที่ 09:29 ตัวอย่างของ IFVG ที่เกิดขึ้นในตลาด

สรุป

Confluence จะเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับการเทรดด้วยกราฟเปล่าเลยใช่ไหมครับ? Confluence จะเน้นการมีปัจจัยทางเทคนิคที่คอยบ่งชี้ถงสัญญาณเข้าเทรดที่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งหากคิดในแง่นี้ก็ถือว่าดีมากๆ สำหรับเทรดเดอออร์จะได้เข้าเทรดด้วยความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามอย่าลืมมองถึงโอกาสในการเทรดเมื่อเราต้องใช้หลายปัจจัยทางเทคนิคมากเกินไป เทรดเดอร์ควรชั่งน้ำหนักว่าหากมีหลายปัจจัยมากเกินไปจะทำให้เสียโอกาสหรือไม่และเลือกปัจจัยทางเทคนิคที่ตัวเองถนัด 2 อันขึ้นไปก็เพียงพอแล้ว

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ