เทรดน้อย กำไรมาก ด้วย Swing Trading สำหรับคนไม่มีเวลาเฝ้าจอ

ในโลก Forex ที่เต็มไปด้วยสไตล์การเทรดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Position Trading สายถือยาว, Day Trading เน้นจบในวันหรือ Scalping สายเก็บกินเร็ว แต่ยังมีสไตล์การเทรดหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ “Swing Trading” โดยบทความนี้ เราจะเน้นไปที่กลยุทธ์เทรดแบบมินิมอลนี้ เทรดน้อยครั้งแต่กำไรบาน โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการเฝ้ากราฟตลอดเวลาครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • Swing Trading คือการเทรดตามการแกว่งตัวของราคา โดยหาจังหวะเข้าเทรดในช่วงที่ราคากำลังเคลื่อนที่ตามแนวโน้มหลัก (Swing Body) และรอสัญญาณบริเวณจุดสูงสุด/ต่ำสุดของการแกว่งตัว (Swing Point)
  • สำหรับ Swing Trading จะเน้นใช้ Timeframe 4 ชั่วโมง (H4) และรายวัน (D1) เป็นหลัก เพื่อมองภาพการแกว่งตัวที่ชัดเจน ลดสัญญาณรบกวนและให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่า
  • หลักการเทรดคือต้องรอให้เกิดสัญญาณ Price Action ที่ชัดเจนบริเวณ Swing Point ก่อนเข้าเทรดและต้องมีความอดทนในการถือออเดอร์นานข้ามวันหรือข้ามเดือน เพื่อรอให้ราคาเคลื่อนที่ตาม Swing Point อื่นๆ
  • ข้อดีของ Swing Trading คือ ใช้เวลาเทรดไม่บ่อย ไม่ต้องเฝ้าจอแต่มีโอกาสทำกำไรเยอะกว่า แต่ก็มีข้อเสียเช่น ต้องใช้ความอดทนสูง ใช้เวลายาวนานและพลาดโอกาสระยะสั้น

Swing Trading คืออะไร?

  • Swing Trading ถ้าแปลตรงตัวก็คือการเข้าเทรดเมื่อราคาแกว่งตัว ลองนึกภาพตามเมื่อกราฟแท่งเทียนเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มขึ้นลงตาม รอบคลื่น แล้วเราหาจังหวะเทรดในช่วงขึ้นและลงนั่นเองครับ
  • ที่ Swing Trading ได้รับความนิยมนั่นก็เพราะตลาด Forex มันไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงอยู่แล้วครับ มันจะสวิงขึ้นลง มีทั้งช่วงเคลื่อนที่ตามแนวโน้มหลักและช่วงปรับฐานเพื่อเปลี่ยนแนวโน้มเป็นวัฏจักรของมัน
  • ส่วนประกอบของรูปแบบ Swing สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ครับ คือ
    1. Swing Body = การเคลื่อนที่ของกราฟราคาในแนวโน้มใดแนวโน้มหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดการย่อตัวหรือกลับตัว
    2. Swing point (high/low) = จุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low) ของการแกว่งตัวของราคา ซึ่งเป็นจุดที่ราคามีการเปลี่ยนทิศทาง+เป็นแนวรับแนวต้าน จึงมักจะมีสัญญาณบางอย่าง เช่น Price Action บริเวณนี้เยอะ
ส่วนประกอบของรูปแบบ Swing
โดยปกติแล้วกราฟราคา Forex มักจะเกิดการ Swing ตัวอยู่บ่อยๆ ซึ่งรอบ Swing มีองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่างคือ Swing Body หรือการเคลื่อนที่ของราคาตามแนวโน้มหลัก ต่อมาคือ Swing Point หรือจุดที่ราคาแกว่งตัวจากขึ้นไปลง(high) จากลงไปขึ้น (low)

คำแนะนำสำหรับ Swing Trading

  1. การเทรดแบบ Swing ส่วนใหญ่จะใช้ Timeframe ใหญ่ เช่น 4H, D1 เป็นหลัก เนื่องจากตลาดไม่ได้เปลี่ยนแปลงบ่อยนัก
  2. ต่อเนื่องจากการใช้ Timeframes ใหญ่เป็นหลัก กลยุทธ์นี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนเพียงพอสำหรับการถือออเดอร์นานๆ และมีความอดทนในการรอคอยไปโดยปริยาย
  3. การเทรด Swing จะเน้นการหาสัญญาณ Price Action ที่เกิดขึ้นบริเวณ Swing Point ซึ่งใน TF ใหญ่จะชัดเจนกว่า TF เล็ก
  4. นอกหาการหา Price Action แล้วก็ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือตีเส้น Trendline หรือกรอบ เพื่ออ้างอิงในการเลือกจุดเข้าเทรดให้แม่นยำขึ้น
  5. อย่ารีบเข้าเทรดทันทีที่ราคาถึง Swing Point หรือ ควรรอให้ตลาดแสดงข้อมูลก่อนว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อจุดนั้นๆ เช่น ราคาทะลุระดับก่อนหน้าอย่างชัดเจน เป็นต้น
การเปรียบเทียบ Swing ในกรอบเวลา 5 นาทีที่มีสัญญาณรบกวนมากกว่ากรอบเวลาใหญ่
จากรูปตัวอย่างในกรอบ 5 นาที เกิดแนวโน้ม 3 แนวโน้มในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง ซึ่ง TF เล็กมีสัญญาณรบกวนมาก ทำให้การระบุ Swing Point และแนวโน้มหลักไม่ชัดเจนเท่า TF ใหญ่ นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไม Swing Trading จึงใช้ TF 4 ชั่วโมง, 1 วัน เป็นหลัก

แนวทางในการเทรดแบบ Swing

เราลองมาดูตัวอย่างในการเข้าเทรด Swing Trading แบบของจริงกันบ้างว่า มีหลักการหรือแนวทางในการเข้าเทรดยังไง ให้มีประสิทธิภาพที่สุด

ตัวอย่างที่ 1 การเริ่ม Swing

ตัวอย่างการเริ่ม Swing ที่แสดง Swing Point และการยืนยันด้วย Pullback ใน TF 4 ชั่วโมง
จากรูปคือช่วงเริ่มต้นของ Swing ของกรอบเวลา Daily จะเห็นว่ามีช่วง Swing ที่ชัดเจน ทั้ง 3 จุด โดยเทรดเดอร์สามารถออกออเดอร์บริเวณ Swing Point เมื่อเห็นสัญญาณ Price Action ที่สมบูรณ์
  • จากจุดที่ 1 ถึงแม้เราจะรู้ว่าราคาไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่าเดิมได้และมีโอกาสที่จะเป็น Swing Point สูงมาก แต่แนะนำว่าไม่ควรรีบเข้า Sell ในทันที
  • รอให้ราคาทำ Price Action ยืนยันสัญญาณ คือ ทะลุ Low ก่อนหน้า ซึ่งจุดที่ทะลุนั่นแหละ เราจึงจะเข้าเทรดตามแนวโน้ม (Sell)
    • ซึ่งในภาพ TF 4 ชั่วโมงจะเห็นว่าราคามีย้อนกลับมาทดสอบแนวเดิม (Pullback) ที่ทะลุมาก่อนจะวิ่งไปตามแนวโน้มหลัก เป็นการยืนยันชัดเจน
  • จนกระทั่งราคาได้วิ่งมาถึง Swing Low ที่จุด 2 เราก็ควรจะรอดูสัญญาณก่อนว่าราคาจะกลับตัวหรือไปต่อ
    • ซึ่งในที่นี้ราคาเริ่มทำสัญญาณกลับตัวด้วยโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะพื้นที่ Supply บริเวณนั้นได้(กรอบสีฟ้า) จังหวะนี้ให้ปิดออเดอร์ Sell จากจุดที่ 1 ได้เลย
  • ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการเริ่ม Swing ใหม่จากจุด 2 เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปได้ เป็นโอกาสเล่น Buy
    • แต่ต้องระวัง!!! สังเกตเห็นไหมว่าราคาเกิดการ Pullback มาทดสอบ ก่อนจะขึ้นไปต่อ หากใครตกใจรีบปิดออเดอร์ก็ตกรถไปเลย
  • ทางแก้คือเราสามารถไปดักบริเวณที่ราคาทดสอบแนวเดิมเสร็จแล้ว มันก็จะพุ่งไปในแนวโน้มหลัก เราสามารถตั้ง Buy Stop บริเวณ High ล่าสุดได้ครับ

ตัวอย่างที่ 2 ภาพรวมใหญ่

การเทรดแบบ Swing ในกรอบเวลาใหญ่ที่มีจุดซื้อขาย 5 จุด
ภาพรวมใหญ่ของกราฟคือแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้นการเทรด Swing ควรเทรดในกรอบแนวโน้มหลัก โดยเฉพาะหน้า Buy ที่มีโอกาสทำกำไรสูง แต่จุด Swing ทั้ง 5 จุดนี้ถือว่าใช้เวลาค่อนข้างนาน
  • เมื่อมองภาพที่ใหญ่ขึ้นจะเห็นว่าเกิดการสวิง 5 จุด ด้วยกัน โดยหลักการเข้าเทรดก็เหมือนกันกับตัวอย่างที่ 1 เลยครับ
  • จาก Timeline ของการ Swing นี้ จะเห็นว่าเริ่มต้น Swing ช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2017 กว่าจะไปถึง Swing ที่ 5 ก็เดือน กรกฎาคมปี 2018 ประมาณ 7 เดือน
  • หากมองกรอบใหญ่มันก็คือแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้นช่วง Swing Point ที่ 4 บางคนก็ดูออกแล้วว่า ฐาน Low มันสูงขึ้น อาจจะเก็บออเดอร์ Buy จากจุด 2 เอาไว้หรือตามจุดพักตัวต่างๆ อาจจะเล่น Buy เพิ่มได้ครับ

ข้อดี-ข้อเสียของ Swing Trade

เรามาดูกันดีกว่าว่า Swing Trading ที่ดูเหมือนจะง่าย แค่เทรดตามแนวขึ้นลงของราคา มันมีข้อดีและข้อเสียตรงไหนที่เทรดเดอร์ควรจะรู้บ้าง

ข้อดี

  1. ไม่จำเป็นต้องจับจ้องกราฟตลอดเวลาเพราะ Swing Trading เล่นกราฟ TF ใหญ่เป็นหลักและเข้าเทรดเฉพาะ Swing Point ตามแนวโน้มหลักดังนั้นมันจึงใช้เวลาเทรดน้อยๆ แล้วปล่อยให้ราคาเป็นตัวนำพาไป
  2. เทรดน้อยครั้ง แต่กำไรเยอะ จะเห็นว่าการเทรดแต่ละครั้งจะเน้นที่จุดสำคัญเพียงไม่กี่จุดที่ยืนยันถึงการ Swing ตัวของราคาที่แท้จริง จากตัวอย่างจะเห็นว่าเทรดแค่ 4-5 ครั้งเท่านั้น แต่ราคาวิ่งไกลกำไรจึงเยอะ
  3. ด้วยกับการใช้ Timeframes ใหญ่ สัญญาณที่เกิดขึ้นใน Timeframes ระดับ H4 และ Daily จึงมีความแม่นยำและกรองสัญญาณรบกวนได้ดีกว่า
  4. หากพูดถึงเรื่องต้นทุนการเทรดก็อาจจะเกี่ยวข้องด้วยเพราะความถี่ในการเทรดแบบ Swing น้อยกว่า ทำให้เสียค่า Spread และ Commission น้อยลงในระยะยาว

ข้อเสีย

  1. เทรดเดอร์ต้องใช้ความอดทนสูงมากเพราะจำเป็นต้องถือออเดอร์ข้ามวันหรือหลายวัน อาจจะเป็นเดือน(ตามตัวอย่าง) ความเร็วและความถี่ในการทำกำไรจึงสู้เทรดสั้นไม่ได้
  2. การเน้นไปที่การแกว่งตัวในภาพรวมใหญ่ ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ในระหว่างวันไปโดยปริยาย ซึ่งบางวันก็มักจะมีโอกาสสวยๆ อยู่เต็มไปหมด
  3. สืบเนื่องจากการเทรดด้วยกรอบเวลาใหญ่ ดังนั้นการตั้ง Stop Loss ก็จะค่อนข้างกว้างและไกล จึงต้องระวังเรื่องของเงินทุนที่สามารถรองรับการแกว่งตัวของราคาเมื่อไปผิดทางได้
  4. การใช้ Swing Trading หากราคาไปตามที่คาดการณ์ก็จะดีมาก แต่ถ้ามันไปผิดทางก็จะยิ่งเสียเวลาใหญ่ถ้าสุดท้ายราคาวิ่งไปชน SL เสียทั้งเงิน ทั้งเวลาที่ยาวนาน
ข้อดีและข้อเสียของ Swing Trading
การเทรดแบบ Swing มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น ใช้เวลาเทรดไม่บ่อยแต่เวลาทำกำไรค่อนข้างสูง แถมสัญญาณเทรดค่อนข้างชัดเจน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับการใช้เวลาที่ยาวนานจนพลาดโอกาสเทรดรายวันใน TF เล็ก

วิดีโอเกี่ยวกับ Swing Trading

ทีมงานไปเจอวิดีโอตัวหนึ่งที่พูดค่อนข้างครบถ้วนและเห็นภาพเกี่ยวกับ ทำไมกลยุทธ์แบบ Swing Trade ถึงดีที่สุดในการทำกำไร? ซึ่งก็เป็นมุมมองหนึ่งของเทรดเดอร์คนนนี้ โดยในคลิปจะอธิบายเหตุผลและข้อดีข้อเสียทุกอย่าง

  • Focus นาทีที่ 00:23 คำจำกัดความของการเทรดแบบ Swing
  • Focus นาทีที่ 01:10 ความแตกต่างระหว่างการเทรดแบบ Swing และรูปแบบการเทรดอื่นๆ
  • Focus นาทีที่ 02:51 ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ Swing
  • Focus นาทีที่ 05:13 ตัวอย่างการเทรด

สรุป

จากเนื้อหาในบทความนี้คงจะสรุปแบบรวบหัวรวบหางเลยไม่ได้ว่า Swing Trading คือกลยุทธ์เทรดที่ดีที่สุด เพราะทุกกลยุทธ์การเทรดมีข้อดีข้อเสียของตัวเอง จริงอยู่ว่า Swing Trading เน้นเทรดตามแนวโน้มหลักและจุดกลับตัว แต่ก็แลกมาด้วยการใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากๆ

ดังนั้นเทรดเดอร์ควรรู้จักสไตล์การเทรดให้มากเพื่อคัดสรรดูว่าตัวเองเหมาะกับการเทรดแบบไหนทั้งด้านเงินทุนและสภาพจิตใจรวมถึงความรู้ด้วย หรืออาจจะประยุกต์การเทรดแบบใหม่ด้วยตัวเองก็ไม่มีใครห้าม เพียงแค่มันทำกำไรก็เพียงพอแล้วครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ