Highlight
- การเทรด forex คือ การแลกเปลี่ยนซื้อขายสกุลเงินระหว่างประเทศต่าง ๆ
- การเทรดเราสามารถเทรดได้ทั้งคู่เงิน, คู่เงินรอง, คู่เงินนอกกระแส
- เทรดเดอร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 สายหลัก ๆ ได้แก่ สายวิเคราะห์ทางเทคนิค และ สายวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- เทรดเดอร์สายวิเคราะห์เทคนิคสามารถแบ่งย่อยไปอีกหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแต่ละสายสามารถมาประยุกต์ความรู้เข้าด้วยกันได้
การ เทรด forex คือ
การ เทรด forex คือ การเข้าซื้อ/ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินระหว่างประเทศ โดยเราสามารถแบ่งเป็นคู่สกุล หรือ Currency pair ได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ คู่เงินหลัก, คู่เงินรอง, และคู่เงินนอกกระแส เป็นต้น
คู่เงินหลัก หรือ Major currency pair [1]
คู่เงินหลัก หรือ ที่เทรดเดอร์ชาวไทยอย่างเราเรียกว่า Major fx เป็นคู่เงินที่ได้คนนิยมเทรดกันมากที่สุด ซึ่งถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์ก็มีโอกาสมากถึง 80% เลย
โดยสาเหตุที่มันเป็นที่นิยมอาจจะเป็นเพราะ มันมีสภาพคล่องที่สูง เป็นสกุลเงินหลักที่คนใช้กันมาก เป็นสกุลเงินของประเทศมหาอำนาจและมีผลต่อเศรษฐกิจโลกครับ
นอกจากนี้ มันยังเป็นสกุลเงินของกลุ่มประเทศที่มีความเสถียรทางการเงินค่อนข้างสูง ซึ่งมันมีโอกาสที่จะถูกแทรกแซงโดยกลุ่มผู้มีอำนาจได้น้อยลง นั่นหมายความว่าใครจะเข้ามาปั่นราคาคงเป็นไปได้ยาก
วิธีการสังเกตว่าคู่เงินไหนเป็นคู่เงินหลัก คือ หากคู่เงินนั้นมี USD อยู่ด้วย ไม่ว่าจะต่อท้าย หรือ อยู่ด้านหน้า เราจะถือว่าเป็นคู่เงินหลักทันทีครับ ยกตัวอย่างเช่น EUR/USD, AUD/USD, USD/JPY เป็นต้น

คู่เงินรอง หรือ Minor currency pair [1]
คู่เงินรอง หรือ ที่เราเรียกว่า Minor fx เป็นคู่เงินที่คนนิยมเทรดรองลงมา โดยคู่เงินรองนี้จะมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าคู่เงินหลัก แต่มีความผันผวนที่มากกว่า จึงเป็นสาเหตุให้คนนิยมเทรดกันน้อยกว่านั่งเองครับ
วิธีการสังเกตว่าคู่เงินไหนเป็นคู่เงินรอง คือ คู่เงินที่ไม่ได้จับคู่กับ USD นั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY เป็นต้น
คู่เงินนอกกระแส หรือ Exotic currency pair [1]
คู่เงินนอกกระแส เราจะจำกัดความว่า มันเป็นคู่เงินจากประเทศเกิดใหม่ หรือ ประเทศที่มีขนาดเล็ก มาจับคู่กับสกุลเงินหลัก หรือ ประเทศที่โตแล้ว
คู่เงินนอกกระแสนี้มีคนนิยมเทรดน้อยที่สุด เนื่องจากมีสภาพคล่องที่ต่ำ มีความผันผวนสูงมาก อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะถูกคนนอกหรือผู้มีอิทธิพลแทรกแซงปั่นราคาได้ง่ายกว่าอีกด้วย
ความเสี่ยงอีกหนึ่งประการของคู่เงินนอกกระแสคือความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย (ค่า spread) ที่โคตรจะสูง แถมยังอ่อนไหวต้อการเมืองเอาซะมาก ๆ เลย ซึ่งผู้เขียนจะสรุปยกตัวอย่างคู่เงินแต่ละประเทศเอาไว้ในตารางที่ 1 ครับ
ตารางที่ 1 แสดงตัวอย่างชื่อย่อของสกุลเงินประเทศต่าง ๆ
Major FX |
Minor FX |
Exotic FX |
|||
Eng |
Thai | Eng | Thai | Eng |
Thai |
EUR/USD | ยูโร/ดอลล่า | EUR/GBP | ยูโร/ปอน | USD/MXN | ดอลล่า/เปโซ |
GBP/USD | ปอน/ดอลล่า | GBP/JPY | ปอน/เยน | GBP/DKK | ปอน/โครน |
AUD/USD | ออส/ดอลล่า | CAD/CHF | แคนาดา/ฟรัง | EUR/TRY | ยูโร/เรียลราร์ |
NZD/USD | นิวซี/ดอลล่า | EUR/JPY | ยูโร/เยน | GBP/NOK | ปอน/โครน |
USD/JPY | ดอลล่า/เยน | NZD/JPY | นิวซี/เยน | CHF/NOK | ฟรัง/โครน |
USD/CHF | ดอลล่า/ฟรัง | AUD/JPY | ออส/เยน | USD/TRY | ดอลล่า/เรียลราร์ |
เมื่อเราจะเข้าใจแล้วว่า การเทรด forex คืออะไร สามารถเทรดคู่เงินไหนได้บ้าง คู่เงินไหนน่าเทรดไม่ทน่าเทรด ต่อมาเรามาดูกันที่สไตล์การเทรดกันดีกว่าครับ
ผู้เขียนจะแบ่งสไตล์การเข้าเทรดอยู่ 2 แบบหลัก ๆ สำหรับบทความนี้ครับ โดยเกณฑ์ในการแบ่งคือเราจะแบ่งตามวิธีวิเคราะห์ก่อนหาจุดเข้าซื้อขายครับ ดังนั้นมันก็จะมี 1.) การวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ Technical Analysis และ 2.) การวิเคราะห์พื้นฐานปัจจัย หรือ Fundamental Analysis นั่นเองครับ
“ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์สายไหน ก็ล้วนไม่มีผิด ไม่มีถูก ดังนั้นให้เลือกเทรดตามความถนัดและเป็นไปได้ของตลาด”
จริง ๆ จะเปรียบการเทรดเหมือนการเล่นเกมส์ก็ได้นะครับ ที่เขาจะมีแบ่ง Class อาชีพที่หลากหลายออกไป เพราะแม้แต่เทรดเดอร์สาย Technical Analysis ยังมีการแตกแยกย่อยไปเป็นสายต่าง ๆ เลย เช่น
- สายวิเคราะห์กราฟเปล่าที่เน้นดู Price Action + Candlestick Pattern
- สายวิเคราะห์กราฟเปล่าตามทฤษฎีต่าง ๆ เช่น Dow theory, Elliott Wave
- สายเน้นใช้เครื่องมือ Indicators
- สายผสมที่นำหลาย ๆ อย่างมาผสมกัน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
ในแง่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเป็นทำนายความเป็นไปได้ของตลาดผ่านการเก็บสถิติในอดีต [2] โดยเทรดเดอร์สายนี้อาจจะมีสมมตฐานว่า ตลาดอาจจะไม่มีประสิทธิภาพในการชี้วัดมากพอแต่รูปแบบของราคาและแนวโน้มของข้อมูลในตลาดต่างหากที่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ได้ [3]
อย่างไรก็ตาม ความรู้เหล่านี้มันกว้างเอาซะมาก ๆ ซึ่งถ้าจะกล่าวในบทความนี้ให้หมด คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผู้เขียนจะกล่าวแต่เพียง Concept ให้ฟังคร่าว ๆ โดยเราจะไปลงรายละเอียดกันอีกทีในบทความแยกครับ
วิเคราะห์บนพื้นฐาน Price Action
เรามาเริ่มกันที่ Price Action ดันก่อนเลยครับ เพราะไหน ๆ เราก็พอจะมีพื้นฐานจาก Anatomy of candlestick กันมาแล้วจากบทความก่อน [4] ซึ่ง Price Action คือ ผลลัพธ์ของการสู้กันระหว่าง “แรงซื้อ” กับ “แรงขาย” ภายในระยะเวลาในแต่ละ Time Frame ครับ [5] ซึ่ง Price Action มีโคตรจะหลายแบบเลย แต่ผู้เขียนคงจะนำเสนอแบบที่ใช้บ่อย ๆ 4 แบบดังนี้ครับ
แท่งเทียน Hammer [6]
Price action แบบนี้มีลักษณะคล้าย “ค้อน” ตามชื่อของมันเลยครับ ซึ่งเจ้า Hammer นี้จะเป็นตัวบอกถึง Bullish trend (เทรนขาขึ้น) โดยมันสามารถใช้ได้ 2 กรณีได้แก่
- ใช้ในกรณีที่ กราฟกลับตัวจาก “ขาลง” เป็น “ขาขึ้น”
- ใช้ในกรณีที่ “ช่วงการพักตัวของกราฟ” กำลังจบลงและราคากำลังทำท่าจะเป็นขาขึ้น
ลักษณะของ Hammer ที่เราเห็นชัด ๆ เลย คือ ส่วนของเนื้อเทียนจะมีน้อย เนื่องจากราคาเปิด กับ ราคาปิด อยู่ใกล้กันมาก และเนื้อเทียนจะอยู่ค่อนออกไปทางข้างบนดังรูปที่ 3 ครับ
แท่งเทียน Inverted Hammer [6]
นอกจากที่เราจะมี Hammer เพื่อใช้เป็นตัวบอก Bullish trend แล้ว เรายังที Invested Hammer ที่เป็นฝั่งตรงกันข้ามกับ Hammer อีกด้วยครับ (รูปที่ 3)
โดย Invested Hammer จะเป็นตัวที่บ่งบอกว่าตอนนี้อาจจะกำลังเข้าสู่ Bearish trend หรือ เทรนขาลง แล้ว ซึ่งมันก็สามารถใช้ได้ใน 2 กรณีดังนี้
- ใช้ในกรณีที่ กราฟกลับตัวจาก “ขาขึ้น” เป็น “ขาลง”
- ใช้ในกรณีที่ “ช่วงการพักตัวของกราฟ” กำลังจบลงและราคากำลังทำท่าจะเป็นขาลง
ลักษณะของ Inverted Hammer จะเป็นตัวสะท้อนถึงแรงซื้อที่ไม่สามารถสู้แรงขายได้ เนื่องจากคนกระหน่ำเทขายอย่างหนักจนทำให้เกินแนวโน้มขาลง

แท่งเทียน Harami [7]
Harami เป็น Price action ในอีกหนึ่งรูปแบบที่บ่งบอกว่ากราฟกำลังเลือกข้าง (สิ้นสุดความเป็นเทรน) โดยคำว่า Harami มาจากภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “คนท้อง” ซึ่งสาเหตุที่เขาเรียกกันแบบนั้นเป็นเพราะว่า Price action นี้จะต้องมีแท่งเทียน 1 ตัวที่มีขนาดใหญ่ เรียกว่า Mother bar หรือ ตัวแม่
แน่นอนครับว่า เมื่อมีแม่ก็ต้องมีตัวลูก หรือ Inside bar เนอะ.. Harami เองมีความคล้ายคลึงกับ Engulfing ตรงที่ต้องมีแท่งแม่และแท่งลูก เพียงแต่ Harami ตัวแท่งแม่จะต้องมาก่อนตัวแท่งลูกเสมอครับ (รูปที่ 3 และ รูปที่ 4) ซึ่ง Harami เองก็แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Bullish Harami และ Bearish Harami เป็นต้น
- Bullish Harami: แท่งเทียนแม่ = สีแดง และ แท่งเทียนลูก = สีเขียว
- Bearish Harami: แท่งเทียนแม่ = สีเขียว และ แท่งเทียนลูก = สีแดง

แท่งเทียน Engulfing [8]
เมื่อกี้ผู้เขียนแอบเกริ่นถึง Engulfing ในหัวข้อ Harami นิสนึงครับ ซึ่งเรามาดูกันดีกว่าว่า Engulfing คืออะไร หน้าตาจริง ๆ เป็นอย่างไร
Engulfing เป็น price action ที่ใช้ดูรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้น ซึ่งเขาก็จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ Bullish Engulfing และ Bearish Engulfing ครับ
- Bullish Engulfing: เป็นการแสดงออกของ “กำลังซื้อ” ที่มีกำลังมากกว่า “กำลังขาย” โดยเราจะสังเกตกำลังซื้อในแท่งเทียนที่ 1 (แท่งเขียว) และดูกำลังขายที่แท่งเทียนที่ 2 (แท่งแดง) ซึ่งหากเนื้อเทียนของแท่งเขียว > เนื้อเทียนของแท่งแดง หมายความว่ามันเกิด Bullish Engulfing นั่นเอง (รูปที่ 5)
- Bearish Engulfing: คือการแสดงออกของ “กำลังขาย” ที่มีกำลังมากกว่า “กำลังซื้อ” ซึ่งวิธีสังเกตุก็ตรงกันข้ามกับ Bullish Engulfing ครับ

วิเคราะห์บนพื้นฐาน Chart pattern analysis
การวิเคราะห์ Chart pattern เป็นอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญที่เทรดเดอร์สาย Technical ควรจะรู้ครับ เพราะมันจะช่วยให้วิเคราะห์กราฟอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีและสมเหตุสมผลมากขึ้น เนื่องจากทฤษฎีเหล่านี้อาศัยการเก็บสถิติและวิเคราะห์มาอย่างพอในระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง
Dow theory [9]
เทรดเดอร์หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้บินทฤษฎีอันโด่งดังอย่าง Dow theory กันมาบ้างแล้ว ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเรียนรู Concept ของทันกัน เพราะเนื้อหาแบบสมบูรณ์จะเยอะมาก ดังนั้นผู้เขียนจำเป็นต้องแยกไปอีกบทความนึงเลยครับ
Dow theory คือ การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคจากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ที่มองว่าการเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นไปตาม “วงจรเศรษฐกิจ” หรือ “Sector Rotation” ครับ
ตามทฤษฎีนี้เขาเชื่อกันว่า การขึ้นลงของราคาสินทรัพย์เปรียบเสมือนน้ำทะเล เมื่อราคาของสินทรัพย์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ระยะทางของกราฟขาขึ้นจะยาวนานกว่าขาลง หากใครมองภาพไม่ออกดูรูปที่ 6 ในทางกลับกัน หากราคาสินทรัพย์อยู่ในแนวโน้มขาลง ระยะทางของกราฟขาลงก็จะยาวนานกว่ากราฟขาขึ้น

การวิเคราะห์แนวโน้มของ Dow theory
เราสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของมันออกมาได้ 3 แนวโน้มหลัก ๆ ซึ่งจะแบ่งไปตามระยะเวลาครับ (ราคา vs. เวลา)
- Primary Trend หรือ แนวโน้มหลัก
- การวิเคราะห์แนวโน้มหลัก เราจะมาดูกันที่ Time frame ใหญ่ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่กลยุทธ์ของเทรดเดอร์นะ ถ้าเทรดบน Time frame H1 เราก็จะไปดูแนวโน้มหลักกันบน D1 ครับ ซึ่งอาจจะมองย้อนหลังไป 100-300 วัน แต่ถ้าจะดูบน Time frame H1 อาจจะต้องดูน้อยกว่านั้น โดยจะดูย้อนหลังประมาณ 1,000 แท่งเทียนไปครับ
- Secondary Trend หรือ แนวโน้มรอง
- แนวโน้มรองเป็นแนวโน้มระยะกลาง ๆ ครับ โดยเราจะเห็นการย่อตัวของกราฟจากแนวโน้มหลักอย่างชัดเจน ซึ่งเราสามารถดูย้อนหลังไปประมาณ 3 weeks ก็ใช้ได้ครับ
- Minor Trend หรือ แนวโน้มย่อย
- แนวโน้มย่อย เป็น แนวโน้มระยะสั้น ซึ่งมันจะเกิดขึ้นภายในแนวโน้มรอง และหากใครมองไม่ออก อาจจะเกิดความลังเลในการเทรดได้ง่าย ๆ เลยครับเพราะราคามันจะสวิงขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ใน แนวโน้มรอง อยู่ และตรงเองนี้เราจะสามารถเข้าเทรดไปตามการไหลของราคาได้ครับ
นอกจากนี้ในแต่ละแนวโน้มก็จะมีวงจรที่มีระยะสำคัญ ๆ อยู่ ประมาณ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม (Accumulation), ระยะปรับตัวครั้งใหญ่ (Publish Participation), ระยะการกระจาย (Distribution) เป็นต้น
- Accumulation: เป็นระยะที่มีการสะสมประมาณการซื้อ-ขาย (Volume) กันอยู่ โดยจะมีทั้งแรงซื้อและแรงขายปะปนกัน ทำให้ระยะนี้เกิดรูปแบบที่ออกข้าง หรือ Sideway การเข้าซื้อขายในช่วงนี้อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าการเข้าซื้อขายในช่วงที่มีแนวโน้ม เนื่องจากมันมีความเป็นไปได้ว่าจะขึ้น หรือ ลง ยกเว้นว่าเทรดเดอร์จะอ่านกราฟขาด
- Publish Participation: เป็นระยะที่กราฟราคาสามารถเลือกข้างได้แล้วว่าจะขึ้น หรือ ลง ช่วงนี้อาจจะเทรดง่ายหน่อย เพียงหาจังหวะเข้าที่ดีและควบคุม Lot size รวมไปถึง Risk/Reward Ratio ดี ๆ
- Distribution: เป็นระยะที่หมดแรงของขาขึ้น หรือ ลง แล้ว เทรดเดอร์รายย่อยมักจะเข้าซื้อหาตรงนี้ มันจึงกลายเป็น sideway ไปซักพัก ก่อนที่กราฟจะเริ่มเลือกข้างอีกครั้งนึง โดยบางท่านก็ได้ให้สมมตฐานเอาไว้ว่า ให้ระวังรายใหญ่เข้าซื้อ หรือ เทขาย กันในจังหวะนี้
Elliott wave
เอลเลียตเวฟ หรือ Elliott wave คือ ทฤษฎีการเทรดหุ้นที่ถูกคิดค้นโดย Ralph Nelson Elliot ช่วงปี 1930 โดยเขามีแนวคิดประมาณว่า “การแกว่งขึ้นและลงของราคาที่เกิดจากจิตวิทยาโดยรวมมักจะปรากฏในรูปแบบซ้ำ ๆ กันเสมอ” เขาเรียกการแกว่งตัวเหล่านี้ว่าคลื่น หากเราสามารถคาดเดารูปแบบของคลื่นได้ เราก็มีโอกาสที่จะทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน [10]
ถึงแม้ว่า Elliot wave จะถูกคิดค้นมาเพื่อเทรดหุ้น แต่ปัจจุบันได้มีการนำทฤษฎีนี้มาปรับใช้ในการ เทรด forex อยู่มากมาย โดยการทำงานของ Elliot wave มักจะแสดงรูปแบบที่ซ้ำวนไปมา โดยเราสามารถแบ่งการเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของราคาเหล่านี้เป็น 2 ประเภท [11, 12] ได้แก่
- Impulse wave
- เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางตามแนวโน้มหลัก โดยจะมีการปรับตัวขึ้นลงของราคาประมาณ 5 ครั้ง (ไม่มากว่านี้ ไม่น้อยกว่านี้เท่าไหร่)
- คลื่นลูกที่ 1,3, และ 5 จะเป็นการปรับตัวขึ้น สำหรับขาขึ้น และจะเป็นการปรับตัวลงสำหรับขาลง
- Correction wave
- เป็นการพักตัวของแนวโน้มหลัก หรือ เรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับแนวโน้มหลักก่อนที่จะมีการปรับตัวตามแนวโน้มหลัก
- คลื่นลูกที่ 2 และ 4 จะเป็นการปรับตัวลง (สำหรับคลื่นลูกที่ 1,3,5 ที่เป็นขาขึ้น) และเป็นการปรับตัวขึ้น (สำหรับคลื่นลูกที่ 1,3,5 ที่เป็นลงขา)
- เป็นการพักตัวของแนวโน้มหลัก หรือ เรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับแนวโน้มหลักก่อนที่จะมีการปรับตัวตามแนวโน้มหลัก
- เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางตามแนวโน้มหลัก โดยจะมีการปรับตัวขึ้นลงของราคาประมาณ 5 ครั้ง (ไม่มากว่านี้ ไม่น้อยกว่านี้เท่าไหร่)
นอกจากนี้ Elliot wave ยังแบ่งเป็นคลื่นลูกใหญ่และคลื่นลูกเล็กซ้อนทับกัน [13] โดยเราจะสังเกตเห็นคลื่นพวกนี้ต่อเมื่อเราดูที่ Time frame ใหญ่ แล้วไปดูที่ Time frame เล็กอีกที หรือ เราสามารถใช้ Zigzag indicator ที่ setting แตกต่างกันบน Time frame เดียวกันครับ

Elliot wave ยังไม่จบเพียงเท่านี้แต่ยังมีรายละเอียดเชิงลึกอีกมากมายที่เรายังไม่ได้กล่าวถึง เช่น Sharp Corrective หรือ รูปแบบย่อยอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Zigzag Correction, Flat Correction, Horizontal Triangles, และ Correction Combinations เป็นต้น ซึ่งเราจะไปเรียนรู้กันในบทความหน้ากันครับ
Wyckoff logic
เทคนิคนี้ค่อนข้างที่จะซับซ้อนเอามาก ๆ ครับ ซึ่งผู้เขียนจะอธิบายเป็น Concept ง่าย ๆ ให้ผู้เริ่มต้นได้เข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนนะครับ… Wyckoff logic เป็นทฤษฎีที่ถูกคิดค้นโดย Richard Demille Wyckoff และถูกจัดเป็นหนึ่งใน เบญจภาคีแห่งวงการเทรดสายเทคนิคเลย [14]
จุดกำเนิดของ Logic นี้ลือกันว่า Richard D. Wyckoff อดสงสารเทรดเดอร์รายย่อยที่แพ้ตลาดกันแบบยับ ๆ ไม่ได้ จึงได้กลั่นข้อมูลองค์ความรู้ของตัวเองออกมาถ่ายทอดให้เทรดเดอร์รายย่อยได้ลืมตาอ้าปากกันได้ [24]
แรกเริ่มเขาตั้งใจถ่ายทอดวิชานี้ให้กับคนที่เทรดหุ้น และอาจจะนับว่าเป็นเทรดสู้กับเจ้า (ผู้ซื้อขายรายใหญ่) ในยุคแรก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะเขาจะวิเคราะห์ถึงระยะสะสมกำลังซื้อขาย (Accumulation) และระยะการกระจาย (Distribution) โดยหลักการเลือกจังหวะเข้าซื้อขายของ Wyckoff มีอยู่ 5 ข้อหลัก [24] ได้แก่
- มองแนวโน้มให้ออก เพราะเราต้องทำนายอนาคตของกราฟให้ออก
- เลือกซื้อขายตอนที่มีแนวโน้ม เป็นการหาจังหวะเข้าซื้อขายที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าช่วง Sideway
- เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับตัวเอง เช่น ลงทุนยาว-กลาง-สั้น
- การตัดสินใจและเด็ดขาดกับกลยุทธ์ของตัวเอง เช่น ถึง SL แล้วก็ต้องยอมออกมาทันที เป็นต้น
- มองหาจุดกลับตัว เป็นกาลดีที่จะมองหาจุด Close position อย่างหนึ่ง เพราะถ้าแนวโน้มจะเปลี่ยนแล้วเราเก็บกำไรกับก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร
Wyckoff Price Cycle คือ วัฏจักรของตลาดที่ Wyckoff ได้วิเคราะห์และตกผลึกมาจาก อุปสงค์, อุปทาน, รูปแบบราคา, ปริมาณการซื้อขาย, ช่วงจังหวะเวลาของพฤติกรรมของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ครับ [15]
วัฏจักรดังกล่าวประกอบไปด้วยตลาดขาขึ้นและขาลง โดยแต่ละช่วงก็จะระยะ Accumulate และ ระยะ Distribution รวมไปถึงช่วงที่เกิดสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และสภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ครับ [15]
เมื่อมีแรงซื้อ มากกว่า แรงขาย นั่นหมายความว่า Demand > Supply จึงส่งผลให้ตลาดอยู่ในขาขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ศัพท์ที่ Wyckoff เรียกคือ Markup [15]
ในทาวกลับกันครับ หากแรงขาย มากกว่า แรงซื้อ หมายความว่า Supply > Demand มันจึงส่งผลให้ตลาดกลับไปขาลงดังรูปที่ 8 ซึ่งเขาเรียกการลงแบบนี้ว่า Markdown ครับ [15]

ผู้เขียนเชื่อว่า concept ของทั้งสามทฤษฎีนี้ เราก็คงเริ่ม ๆ จุกกันแล้วล่ะครับ แต่เนื้อหาของบทความนี้ยังไม่หมด เราจะไปลุยกันต่อที่ เทรดเดอร์สาย Technical ที่วิเคราะห์กราฟด้วยการใช้เครื่องมือ Indicator กันครับ
วิเคราะห์บนพื้นฐานเครื่องมือ Indicators
เป็นที่รู้กันดีครับว่า ไม่ว่าจะเป็น indicator ตัวไหนก็ตาม “สิ่งที่เครื่องมือเหล่านี้ตั้งใจสื่อให้เรารู้ ก็คือ พฤติกรรมราคา” เพราะการดูกราฟเปล่าบางทีก็เป็นเรื่องที่ยากและเต็มไปด้วยอคติ (Bias) ต่าง ๆ มากมาย บางท่านถึงกับมองกราฟไม่ออกเลย
ด้วยเหตุนี้เอง คนจึงพัฒนา indicator มาเพื่อให้ Algorism คำนวณราคาตามสมการต่าง ๆ แล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบ Graphic ให้เราได้มองเห็นและวิเคราะห์กันได้
ดังนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ indicator เหล่านั้นจะสะท้อนถึงข้อมูลย้อนหลัง เพราะมันเอาราคาย้อนหลังมาคิดนี่นา และสิ่งที่เราพอที่จะทำได้คือการทำนายอนาคตจากชุดข้อมูลที่เรามีเพียงเท่านั้นครับ
“Output ของ indicator ได้มาจากสมการที่นำ ราคาในอดีต มาคำนวณ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถชี้นำอนาคตได้”
Indicator forex มีเยอะมากครับ เพราะมันมีการสร้างมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ของการเทรดจนมาถึงปัจจุบัน อาจจะมีเป็นพัน ๆ ตัวเลยก็ว่าได้นะครับ แต่วันนี้เราจะมาเรียนรู้ indicator 3 ตัวที่เป็น indicator ยอดนิยมตลอดกาล ซึ่งมันใช้ได้ดีในอดีตและคงคงดีอยู่ในยุคปัจจุบัน
Moving Average (MA)
หนึ่งใน TOP 10 indicator ขอยกให้ MA จริง ๆ ครับ เพราะมันเรียบง่ายแต่โคตรจะมีประโยชน์ โดย MA มีประวัติการพัฒนามาอย่างยาวนานเหลือเกิน ซึ่งคนที่พัฒนาคนแรกไม่ใช้เทรดเดอร์ หรือ นักลงทุน ด้วยซ้ำไป ซึ่งใครอยากอ่านเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านฉบับเต็มได้ที่ -> Click
หลักการทำงานของ MA คือการคำนวณหา “ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ของราคา” หรือ ของสินทรัพย์นั้น ๆ ครับ โดยเขาจะใช้ข้อมูลย้อนหลัง xx วัน หรือ xx ชั่วโมง ตามที่เรากำหนด ยกตัวอย่างเช่น MA(20) ก็คือเขาใช้ ระยะเวลา (period) จำนวน 20 แท่งเทียนย้อนหลังมาคิดคำนวณให้เราครับ
วิธีคิดคำนวณมีหลากหลายรูปแบบครับ (ก็พัฒนากันมาเป็น 30 ปีจะมีน้อยได้ไง?) เช่น การคำนวณแบบ Simple, Exponential, Smoothed, Linear Weighted, Double Exponential, และ Triple Exponential เป็นต้น ซึ่งแต่ละสูตรการคำนวณก็แตกต่างกันไป (Click เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม)
จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง มีอยู่ 2 วิธีคำนวณที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันมากที่สุด ได้แก่ Simple และ Exponential ครับ ซึ่งเรามักจะได้ยินผ่านหูกันว่า SMA และ EMA นั่นเอง โดยข้อดีและข้อเสียมันก็มีแตกต่างกันครับ
ข้อดีของ SMA คือ มันจะเป็นเส้นที่ล้อไปตามการเคลื่อนไหวของราคาเลย ใช้งานง่าย มีสมการที่ไม่ซับซ้อน แต่ข้อเสียของมันคือมันจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวราคาค่อนข้างช้าและมีระยะห่างกับราคาจริงพอสมควร
ในขณะที่ EMA มีข้อดีคือเส้น MA ของเขาค่อนข้างตอบสนองต่อการเคลื่อนที่ของราคาไวกว่าและมีการถ่วงน้ำหยักให้ค่าเฉลี่ยที่ได้มาสมดุลขึ้น แถมยังทำให้ MA มีความใกล้กับราคาขึ้นด้วย แต่ข้อเสียของมันยังคือเป็นเรื่องการที่เป็น Lagging indicator อยู่เพราะเขาใช้ข้อมูลเดิมมาคำนวณแหละ
อย่างไรก็ตาม ของพวกนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและทักษะของเทรดเดอร์แต่ละคนครับ การใช้เป็นไม่ได้แปลว่าใช้เก่ง ดังนั้นหากฝึกฝนอยู่เนื่อง ๆ เพียงแค่กิ่งไม้ก็กลายเป็นกระบี่ได้!!

Relative Strength Index (RSI)
RSI เป็นหนึ่ง indicator ยอดนิยม และใช้ง่ายมาก ๆ ตัวนึงเลยครับ เพราะแม้จะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่กลับทรงพลัง แถมยังใช้งานได้ดีในสนามจริงด้วย โดยจุดเริ่มต้นของ RSI อยู่ในปี 1978 โดย J.Welles Wilder เป็นดั่งบิดาผู้สร้าง RSI เลย
หลักการของ RSI คือการคำนวณสภาวะ Overbought / Oversold ครับ ซึ่งเขาจะนำค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง xx แท่งเทียน ที่เป็นบวก และ ลบ มาเข้าสมการ RSI = 100 – [ 100/(1+( Average gain / Average loss) ) ] ครับ
การแสดงผลของ RSI จะอยู่บน Indicator window ครับ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจาก MA ที่แสดงผลบน Candle Chart ไปเลย ซึ่งวิธีการดู Overbought / Oversold ไม่ยากครับ
- Overbought เมื่อ RSI > 70+
- Oversold เมื่อ RSI < 30-
ปกติแล้วมันมักจะใช้ได้ดีเกือบทุกช่วงตลาด ยกเว้นช่วงที่เกิด Super Trend หรือ แนวโน้มใหญ่ ๆ เรียกได้ว่าใครใช้ RSI เดี่ยว ๆ ก็ตายไปเป็นแทบเลย ดังนั้นโค้ชหลาย ๆ ท่านจึงนิยมให้ใช้ควบคู่ไปกับ indicator ตัวอื่น ๆ และหากใครอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ RSI ก็ Click ไปเลยสิจ๊ะ

Average True Range (ATR)
ATR เป็นอีกหนึ่ง indicator ที่ประโยชน์เยอะมาก ๆ เพราะตัวของมันเองถูกสร้างมาเพื่อช่วยหาความผันผวน หรือ Volatility ของตลาด ณ ช่วงเวลาที่เราต้องการครับ โดย Output จะอยู่บน Indicator window ซึ่งจะแสดงออกมาเป็นเส้นคล้าย RSI แต่จะมีค่ามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับทรัพย์นั้น ๆ ครับ
ATR ถูกคิดค้นโดย J.Welles Wilder ชายคนเดียวกันที่คิดค้น RSI นั่นแหละครับ ซึ่งเขาคนนี้เก่งมาก ๆ และเขาได้เขียนหนังสืออธิบายเกี่ยวกับ indicator ที่เขาสร้างไว้ค่อนข้างละเอียด โดยหนังสือดังกล่าวชื่อว่า “New Concepts in Technical Trading Systems (1978)”
Indicator ATR เองมีความแม่นยำที่สูงมาก ๆ เนื่องจากสมการของเขาค่อนข้างใช้ได้ผลและมีความซับซ้อนในระยะหนึ่งครับ โดยเขาจะหาตัวแปร Ture Range (TR) ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเอาค่า TR ไปคำนวณหา ATR อีกทีนึง ซึ่งตัว TR เองก็แบ่งได้เป็น 3 ประเภทอีกดังนี้ครับ
- TR (1) = ค่าความแตกต่างระหว่าง High – Low ของแท่งปัจจุบัน
- TR (2) = ค่าความแตกต่างระหว่าง High ปัจจุบัน –Close แท่งก่อนหน้า
- TR (3) = ค่าความแตกต่างระหว่าง Low ปัจจุบัน – Close แท่งก่อนหน้า

เมื่อเราหาค่า TR มาได้แล้วให้เรามาคำนวณหาค่า ATR กันต่อด้วยสมการดังนี้ครับ ATR = [(Previous ATR * (n – 1) + TR] / n
เมื่อ n คือจำนวนวันหรือจำนวนแท่งเทียนที่จะนำมาใช้โดยค่าปกติจะอยู่ที่ 14 วันหรือ 14 แท่งเทียน; TR คือ ค่าที่มากที่สุดของ TR ทั้ง 3 ประเภท (Click เพื่ออ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ ATR)
อย่างไรก็ตาม ATR ไม่ใช่ indicator ประเภทที่ให้สัญญาณการเข้าซื้อขาย แต่มันเป็นตัวบอกความ Volatility ของสินทรัพย์นั้น ๆ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงจำเป็นที่จะต้องใช้มันควบคู่ไปกับกลยุทธ์การเทรดอื่น ๆ หรือ ใช้ร่วมกับ Indicator ตัวอื่นครับ
ยกตัวอย่างเช่น หากเราต้องการเทรดแบบตามเทรน (Following Trend) ก็ให้เราไปวิเคราะห์เทรนมาก่อน อาจจะเป็นการตี Trend-line หรือ การใช้ EMA Cross ก็ได้ จากนั้นเมื่อเป็นเทรนแล้วบวกกับตลาดกำลังมีค่า ATR ที่สูง ช่วงนั้นอาจจะเป็นจังหวะเหมาะในการเข้าซื้อขายครับ
นอกจากนี้เองตัว ATR ยังถูกนำมาประยุกต์ใช้งานอื่น ๆ ได้หลากหลายด้วยครับ เช่น การทำ Dynamic Stop Loss หรือ Volatility Stop Loss โดยเขาจะใช้สมการคำนวณระยะ Stop Loss ที่เหมาะสมด้วยค่า ATR [16]
- กรณีเข้า Buy
- ราคาที่เข้าซื้อ – (n-time * ATR)
- กรณีเข้า Sell
- ราคาที่เข้าขาย + (n-time * ATR)
เมื่อ n-time คือจำนวน xx เท่าของค่า ATR นั่นเองครับ ซึ่งเราจะใช้หลักการนี้ไปคำนวณหา Take profit ได้ด้วยนะครับ 😀 และขั้นที่ Advance ไปกว่านั้น คือการกำหนด Lot size ด้วย Volatility ของตลาดที่สะท้อนผ่านค่า ATR นั่นเอง ซึ่งผู้เขียนจะขอกล่าวไปในบทต่อ ๆ ไปนะครับ
จริง ๆ แล้ว เทรดเดอร์สาย Technical Analysis ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับ แต่ยังมีอีกหลายเทคนิคที่ผู้เขียนยังไม่ได้กล่าวถึง เช่น Volume analysis, Relative strength, Support and Resistance, Trend Analysis, และอื่นอีก เป็นต้น [17]

สรุป การ เทรด forex
การ เทรด forex คือ การแลกเปลี่ยนซื้อขายค่าเงินสกุลต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคู่เงินได้แก่ คู่เงินหลัก, คู่เงินรอง, และคู่เงินนอกกระแส เป็นต้น โดยวิธีการเทรดสามารถทำได้หลากหลาย โดยเราแบ่งเทรดเดอร์ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ สายวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical analysis) และ สายวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental analysis)
เทรดเดอร์สาย Technical เราก็แตกแย่งย่อยลงไปได้อีกหลายกลุ่ม เพราะทักษาะในแต่ละกลุ่มก็มีความแตกต่างกันออกไป จากตรงนี้เองเราจะสามารถเห็นองค์รวมของการเทรด forex ได้ดีมากขึ้น ซึ่งในบทความหน้าเราจะพูดถึงการเทรดอีกหนึ่งสาย นั่นก็คือ สาย Fundamental ครับ
อ้างอิง
- [1] https://www.investopedia.com/terms/c/currencypair.asp
- [2] https://www.forbes.com/sites/investor-hub/article/how-to-technically-analyze-a-stock/?sh=2996d6af111e
- [3] https://rpc.cfainstitute.org/en/research/cfa-magazine/2003/fundamental-vs-technical-analysis
- [4] https://www.thaiforexbroker.com/what-is-forex-2024/
- [5] https://priceaction.com/price-action-university/beginners/what-is-price-action/
- [6] https://www.investopedia.com/terms/h/hammer.asp
- [7] https://www.mql5.com/en/blogs/post/756519
- [8] https://www.babypips.com/forexpedia/engulfing-pattern
- [9] https://www.investopedia.com/terms/d/dowtheory.asp
- [10] https://www.babypips.com/learn/forex/elliott-wave-theory
- [11] https://www.babypips.com/learn/forex/the-5-3-wave-patterns
- [12] https://www.babypips.com/learn/forex/corrective-waves
- [13] https://www.babypips.com/learn/forex/waves-within-a-wave
- [14] https://www.investopedia.com/articles/active-trading/070715/making-money-wyckoff-way.asp
- [15] https://www.liberatedstocktrader.com/wyckoff-method/
- [16] https://www.quora.com/How-do-you-calculate-stop-loss-using-an-ATR-indicator
- [17] https://www.investopedia.com/ask/answers/difference-between-fundamental-and-technical-analysis/#citation-1