หลายครั้งเวลาเราเทรดแม้ในใจของเราอยากจะเป็นคนคุมเกม แต่ดันโดน “เกมคุม” ซะงั้นอาการเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับทักษะการเทรดของเราหรอกครับมันเกี่ยวกับอาการทางจิตใจและอาการที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ คงหนีไม่พ้น “FOMO” เชื่อว่าเทรดเดอร์ทุกคนต้องเคยผ่านมันมาก่อน ในบทความนี้มีเทคนิคในการเอาชนะมันครับ!
Highlight บทคัดย่อ
- FOMO คือความกลัวที่จะพลาดโอกาสในการเทรดและคิดว่าต้องเข้าเทรดทันที ซึ่งต่างจากการเข้าเทรดตามการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เพราะเกิดจากอารมณ์นำไป
- มีเทคนิคในการเอาชนะ FOMO แบบเป็นรูปธรรมได้แก่
-
- สร้างระบบเทรดของตัวเองแบบละเอียด/ชัดเจนมากเท่าไหร่ยิ่งดี ครอบคลุมตั้งแต่เริ่มเทรดจนจบ
- บันทึกอารมณ์ใน Trading Journal ช่วยให้เข้าใจต้นตอของ FOMO และแก้ไขได้ตรงจุด
- การใช้การแจ้งเตือนจากเครื่องมือเทรดช่วยให้เราไม่ต้องเฝ้าจอหรือดูกราฟวิ่งแรงๆ จนเกิดอาการ FOMO
- แทนที่จะไล่ราคาหรือเข้าเทรดตามอารมณ์ การใช้ Pending Order ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ล่วงหน้า
- แต่ถ้าเราพลาดเข้าเทรดด้วยอาการ FOMO มันมีวิธีรับมือคือ ต้องประเมินสถานการณ์ด้วยสติ, หาจุด Cut Loss อย่างมีเหตุผลและอย่าเทรดไล่ราคาเพื่อเอาคืนเด็ดขาด!
FOMO คืออะไร? รู้ให้ทันก่อนจะพังแบบไม่รู้ตัว
- FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out แปลว่าความกลัวที่จะพลาดโอกาส ในบริบทของการเทรด Forex ก็คือเทรดเดอร์กลัวจะพลาดโอกาสในการเข้าเทรด ณ จุดนี้ไปและคิดไปเองว่า “จำเป็นต้องเข้าเทรดทันที”
- คำว่า “จำเป็นต้องเข้าเทรดทันที” มันแบ่งเป็น 2 กรณีนะครับ คือ
-
- จำเป็นต้องเข้าเทรดทันที เพราะตอนนี้เรามองเห็นโอกาสจากการวิเคราะห์ที่ถี่ถ้วนแล้ว
- จำเป็นต้องเข้าเทรดทันที เพราะคิดว่าจุดนี้น่าจะขึ้น/ลง+ไม่อยากเป็นคนเดียวที่ไม่ได้กำไร+ทำตามคนอื่น
- จะบอกว่า 2 ข้อด้านบน มีการกระทำเหมือนกันคือ เข้าเทรดทันที แต่ผลลัพธ์มันต่างกันมากนะครับ เพราะข้อ 1 เข้าด้วยเหตุผลรองรับ ข้อ2 เข้าเพราะอารมณ์และคาดหวังไปเอง ตรงนี้แหละที่เราต้องแยกแยะให้ได้!

เทคนิคการเอาชนะ FOMO
เทรดเดอร์ทุกคนไม่ต้องกลัวไป…อาการ FOMO แบบนี้มันมีทางแก้อยู่ครับ ถ้าจะพูดตรงๆ มันต้องเริ่มแก้ที่ทัศนคติและวินัยการเทรดของเราตั้งแต่ต้นเลย
1. สร้างระบบเทรดของตัวเอง
หัวใจสำคัญของการเอาชนะ FOMO คือการมี Trading Plan หรือแผนการเทรดที่ละเอียด/ชัดเจน ถ้าครอบคลุมได้ตั้งแต่เริ่มเทรดจนจบเทรดจะดีมากๆ เช่น
- เลือกสินทรัพย์ที่จะเทรดและ Timeframe: เลือกว่าเราจะเทรดอะไร? เข้าใจกลไกตลาดของมันมากแค่ไหน? จะเทรดสั้น-ยาว?
- การวิเคราะห์: เลือกเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่เราชำนาญและเข้าใจถ่องแท้ รวมถึงหาแหล่งข้อมูลข่าวพื้นฐานที่น่าเชื่อถือ
- เงื่อนไขการเข้าเทรด: ทำลิสต์ Confluence ออกมาให้ครบ ภายใน Confluence ต้องประกอบด้วยเครื่องมือหรือปัจจัยที่เราเข้าใจอย่างดี เพื่อเช็คสัญญาณได้ถูกต้องและต้องมีสัญญาณยืนยันอย่างน้อย 2-3 อย่างก่อนเข้าเทรด
- การตั้ง SL/TP: กำหนดจุด SL/TP ที่ชัดเจนและเป็นไปตามหลักการบริหารความเสี่ยงเช่น ใต้แนวรับ, เหนือแนวต้าน หรือใช้ Trailing Stop ก็ได้
- การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): กำหนดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการเทรดแต่ละครั้ง เช่น การใช้ RR

2. เขียน Trading Journal
- Trading Journal ก็คือการบันทึกรายละเอียดการเทรดให้มากที่สุด ไม่ใช่แค่เราเทรดอะไร? กำไร/ขาดทุนเท่าไหร่? แต่บันทึกอารมณ์ความรู้สึกของคุณในขณะที่เทรดด้วย
- เพราะการบันทึกอารมณ์จะช่วยให้คุณย้อนกลับไปวิเคราะห์ได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณเกิดอาการ FOMO เช่น มักจะเกิด FOMO เมื่อเห็นราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงแม้จะยังไม่มีสัญญาณให้เข้าเทรดก็ตาม = เรารู้ตัวแล้วว่าทนมองกราฟวิ่งแรงไม่ได้ ก็หาตัวช่วยในการแจ้งเตือนแทนการจ้องกราฟอย่าง Autochartist
3. ตั้ง Alert แทนการนั่งเฝ้า
- ส่วนใหญ่อาการ FOMO มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเห็นกราฟวิ่งแรง อยากจะเข้าเทรดหวังว่ากราฟจะวิ่งไปต่อและส่วนมากก็พังเพราะสาเหตุนี้เลยครับ
- ดังนั้นการแก้ไขที่ต้นเหตุของมันคือไม่ต้องนั่งเฝ้าจอครับ เน้นการแจ้งเตือนจากเครื่องมือต่างๆ แทน เช่น MT4/MT5 จะมีฟังก์ชันการตั้งค่า Alert ที่สามารถกำหนดให้แจ้งเตือนได้เมื่อราคาถึงระดับที่เราต้องการ
- และนี่ก็คือเครื่องมือยอดนิยมที่มีฟังก์ชันการแจ้งเตือนสำหรับการเข้าเทรด/หรือเทรดแทนเราไปเลย จะได้ไม่ต้องจ้องกราฟให้ FOMO บ่อยๆ
- MT4/MT5: แพลตฟอร์มหลักของเทรดเดอร์ มีระบบแจ้งเตือน Price Alert (แนวรับ/แนวต้าน), Indicator Alert (สัญญาณจากอินดิเคเตอร์)
- Expert Advisors (EA): ตัวนี้นอกจากจะสามารถเทรดได้โดยอัตโนมัติแล้ว EA หลายตัวยังถูกตั้งโปรแกรมให้ส่งสัญญาณหรือแจ้งเตือนเมื่อเข้าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ด้วย
- Autochartist: โปรแกรมสำหรับตรวจจับและสแกนหาโอกาสเข้าเทรดแบบอัตโนมัติ พร้อมแจ้งเตือนเมื่อเจอสัญญาณเข้าเทรดที่ตรงเงื่อนไข
- TradingView: แพลตฟอร์มเทรดที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง สามารถตั้งค่า Alert ได้จากอินดิเคเตอร์เกือบทุกชนิด, รูปแบบกราฟที่วาดเอง, หรือเมื่อราคาถึงระดับที่ต้องการ

4. ใช้ Pending Order ตามกลยุทธ์
- หรือถ้าใครเทรดมือไม่ค่อยชอบตั้งการแจ้งเตือน ก็มีวิธีเอาชนะ FOMO ได้ก็คือการใช้ Pending Order แทนที่จะรอให้ราคาเคลื่อนไหวแล้วค่อยเข้าเทรด
- โดยเรากำหนดจุดเข้า/ออก ตามกลยุทธ์เทรดของเรา เช่น แนวรับ/แนวต้าน, ระดับ Fibonacci, จุด Breakout ที่ยืนยันแล้ว ระดับเหล่านี้ถือว่ามีความน่าเชื่อถือ+เป็นโอกาสเข้าเทรดที่ดีกว่า
- เมื่อเราตั้ง Pending Order พร้อมกับกำหนด Stop Loss และ Take Profit ตามการวิเคราะห์และแผนของเรา จากนั้นก็ปล่อยให้ราคาเป็นตัวเฉลยผลลัพธ์เอง ไม่ต้องจ้องกราฟ นั่งลุ้นให้ตัวเอง FOMO ครับ

ถ้า Fomo ไปแล้ว ทำยังไงดี?
- อันดับแรกประเมินสถานการณ์ด้วยสติ ว่าออเดอร์ของเราอยู่ในจุดที่สามารถทำกำไรได้หรือไม่? ถ้าไม่…เราต้องกำหนดจุด Cut Loss ที่สมเหตุสมผล เช่น ถ้าหลุดจากแนวรับ/ต้านนี้ไป ต้อง Cut เพราะราคามีโอกาสไปต่อแน่นอน
- การเทรดเพื่อ “เอาคืน” มักลงเอยด้วยการเสียมากกว่าเดิม อย่าเปิดไม้ใหม่ทันทีหลังขาดทุนเพราะอารมณ์ยังไม่นิ่งและเรายังไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์ที่ถี่ถ้วนพอ
- รีเซ็ตอารมณ์ตัวเองด่วนๆ หากพลาด FOMO เข้าเทรดไปแล้วหาวิธีขจัดอารมณ์ออกไปให้มากที่สุด + ปรับแผนการเทรดเพื่อไม่ให้ซ้ำรอย

วิดีโอเกี่ยวกับ FOMO
วิดีโอนี้จะอธิบายเจาะลึกถึง FOMO ในการเทรดและนำเสนอแนวทางในการสร้างแผนการเทรดเพื่อป้องกันความรู้สึกนี้ โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างเทรดเดอร์ที่มี FOMO กับเทรดเดอร์ที่มีแผนอย่างชัดเจน
- Focus นาทีที่ 00:20 FOMO ในการเทรดคืออะไร?
- Focus นาทีที่ 01:19 ลักษณะของเทรดเดอร์ที่มี FOMO
- Focus นาทีที่ 01:44 ความแตกต่างระหว่างเทรดเดอร์ที่มีแผน vs. เทรดเดอร์ที่มี FOMO
- Focus นาทีที่ 02:29 ตัวอย่างการเทรดจริงของเทรดเดอร์ทั้ง 2 ประเภท
สรุป
เทรดเดอร์ทุกคนควรจะต้องสำรวจตัวเองว่าเรามีอาการ FOMO ระหว่างเทรดมากน้อยแค่ไหน จะได้เตรียมตัวหาทางแก้ไขไม่ให้กระทบกับการเทรดของเรา แต่อย่าไปกลัวการ FOMO จนไม่กล้าทำอะไรเลยเพราะนั่นก็คือความเสี่ยงอย่างหนึ่งเช่นกัน เราควรจะเรียนรู้และหาทางป้องกันอย่างถูกวิธีจะดีกว่า
สุดท้ายนี้อย่าไปกลัวเมื่อต้องเจอกับอาการ FOMO จำไว้เสมอว่าปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยแก้ปัญหาในการเทรดที่หลากหลายและ FOMO ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เราสามารถแก้ไขมันได้

