การวิเคราะห์แบบ Multi-timeframe
การวิเคราะห์แบบ Multi-timeframe ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ในการเทรด ถ้าเราเทรดด้วยผลการวิเคระห์ price chart เป็นหลักหรือเราเชื่อว่าถ้าเราอ่านชาร์ตเปล่าเป็น ชาร์ตเปล่าเพียงพอที่จะให้ข้อมูลท่านในการเทรด โดยไม่ใช้อินดิเคเตอร์ตัวไหนเลย การรู้-เข้าใจตลาด รู้เทรดเดอร์ประเภทต่างๆ และความสามารถในการอ่าน price chartเป็นสิ่งจำเป็น
เช่นเราคาขึ้น-ลงเพราะจำนวนออเดอร์ระหว่างsellและbuy ordersเพิ่มไปในตลาดเพิ่มliquidityแต่ละจุดๆและมีmarket ordersหรือmarket ordersที่มาจากการออกจากตลาดเช่นStop lossเข้าไปเพื่อลบจำนวน liquidityเข้าใจหลักมุมมองตลาดต่างๆเช่นSupport/Resistance,Supply/Demand,Fibo,Price Actionการตั้ง Take ProfitและStop Lossการวิเคราะห์จุดที่มองตั้งแต่2-3timeframesจะทำให้ท่านเห็นโครงสร้างราคาที่เกิดขึ้นและกำลังให้ข้อมูลอะไรท่าน และ จะทำให้ท่านหาจุดเข้าเทรดได้แคบลงและความเป็นไปได้การเทรดสูงขึ้น พวกนี้เราจะสามารถมองจากชาร์ตเปล่าอย่างไร
เช่น ถ้าเป็น Day Tradersเราอาจจะมองภาพรวมหรือจุดวิเคระห์หลักๆจากD1และH4เป็นหลักอาจดูชาร์ต W1ประกอบด้วยเราก็จะหารายละเอียดจุดที่เรามองหรือหาโครงสร้างออเดอร์ผ่านprice chartที่ชาร์ตH1หรือ M30เพื่อหาจุดที่ชัดเจนของD1แล้วค่อยไปหาจุดเข้า-ออกที่ชารตM15/M5เราก็จะได้ภาพที่ชัดขึ้นแนะนำให้ใช้ 2-3 ชาร์ตพอเกินจากนั้นไปอาจทำให้สับสนได้การวิเคราะห์แบบหลาย timeframes ทำให้ท่านไม่หลงทางและหาจังหวะการเข้าได้แม่นขึ้นเพราะเห็นโครงสร้างราคาที่เกิดขึ้นแบบหลายมิติโดยเห็นภาพรวมและเห็นจุดเคลื่อนไหวรายละเอียดใน timeframe ย่อย
การมองหาจุดเทรดจาก Supply/Deman, Support/Resistance หรือ key levels ต้องอย่าลืมว่าออเดอร์ทำงานอย่างไร liquidity เพิ่มและลดอย่างไร เพราะถ้ามี liquidity มาก จะทำให้พื้นที่นั้นโต้ตอบได้ดี ยิ่งใน timeframe น้อยลงไปก็จะเห็นได้ชัด
อีกจุดหนึ่งที่ต้องใส่ใจเมื่อท่านเห็นความเป็นไปได้สูงในการเข้าเทรดจากtimeframeใหญ่การลงไปดูในtimeframeย่อยประกอบจะช่วยให้เห็นโครงสร้างราคาชัดเจนมากยิ่งขึ้นเช่นถ้าเห็นD1 demandลองไปดู H1/M30เพื่อดูพัฒนาการของราคาต่อจุดที่ท่านมองว่าราคากำลังบอกอะไรแล้วลงย่อยไปที่ชาร์ตM15/M5เพื่อหาไทม์มิ่งในการเข้าและออกจากตลาดท่านจะเห็นรายละเอียดว่าขาใหญ่เริ่มเทรดจริงหรือยังสถานะliquidity ตอนนี้เป็นยังไง
ดังนั้นการวิเคระห์ด้วยการมองชาร์ตต่างtimeframesจะทำให้ท่านหาจุดเข้าและออกได้ง่ายและที่สำคัญจะทำให้ท่านเห็นชัดว่าช่วงไหนที่ราคาน่าจะวิ่งผ่านไปไม่ยากเพราะเรื่องหลักการออเดอร์เมื่อlimit ordersพื้นที่ๆโดนลบไปด้วยmarket ordersช่วงผ่านมาตอนราคาretracement/testหรือunfilled ordersโดน filledกลายเป็นตำแหน่งที่เปิดในตลาดPositionsพวกนี้สำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งออเดอร์ที่เปิดอยู่ติดลบ เพราะทางเลือกของtrapped tradersจะมีแค่ว่าจะปิดเสียมากน้อยแค่ไหน
จากมุมมองเรื่องออเดอร์ที่มองพวกTrapped Tradersประกอบจะพบว่าอย่างImbalanceระหว่างออเดอร์ใหม่ๆหรือไม่กี่วันที่สะท้อนการเข้าตลาดจริงของขาใหญ่ที่เห็นจากชาร์ตD1ราคาค่อนข้างจะโต้ตอบดีเพราะหลักการออเดอร์ที่มาจากเทรดเดอร์พวกที่อยู่ในตลาดโดยเฉพาะพวกที่ติดลบจากหลักการนี้อาจทำให้เรามองเห็นได้ว่าพื้นที่ๆมีเทรดเดอร์ติดลบสามารถมองเป็นพื้นที่supply/demandได้เช่นการหาโอกาสเทรด พวกแนวรับกลายเป็นแนวต้านแนวต้านกลายเป็นแนวรับSupplyกลายเป็นDemandและDemandกลายเป็น Supplyการเทรดพวกนี้ใช้การมองต่าง timeframes ประกอบจะทำให้ท่านเป็นจุดเข้าได้ชัด
อีกอย่างหนึ่งต้องเข้าใจเมื่อวิเคระห์จุดที่สนใจต่างtimeframesรูปแบบแท่งเทียนจะต่างกันออกไป ท่านต้องเข้าใจหลักกการนำเสนอของแท่งเทียนCandlestick candlesโดยเฉพาะรูปแบบแท่งเทียนprice actionเช่นPin BarหรือEngulfing Barsเมื่อมองในชาร์ต timeframe ที่เล็กกว่า ต้องหัดฝึกการวิเคราะห์ต่าง timeframes และอาจใช้ tools ที่ช่วยสร้างขบวนการวิเคราะห์ต่าง timeframes จะได้ชำนาญยิ่งขึ้น
การหาจุดเข้า-ออก จาก timeframe น้อย หลังจากผ่านการวิเคราะห์หลาย timeframes จะทำให้เข้า-ออกตรงจุดมากกว่าเดิม เช่น วิเคราะห์ D1/H4 เป็นหลัก H1/M30 หากจุดที่ต้องการโฟกัสเรื่องออดอร์กับโครงสร้างที่กำลังเกิด และ หาจุดเข้าที่ M15/M5 จะทำให้เข้า-ออกได้ดียิ่งขึ้น
อีกอย่างร่องร่อยการเปิดออเดอร์ที่มาจากตลาดจริง พร้อมมี trapped traders ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน จะเป็นพื้นที่ๆ ทำงานดีกว่าพื้นที่เกิดไกลๆ เมื่อมองหาจุดที่เป็นต้นตอ และจุดที่ราคากลับมา ดูอย่าง ชาร์ต D1 ประกอบต่อไปนี้ ถ้าระยะห่างมาก โดยเฉพาะ D1 ขึ้น ต้องรอ การโต้ตอบ D1 เปิดเผยข้อมูลใหม่ก่อนค่อยจะเห็นโอกาสเทรดชัดขึ้น
การวิเคระห์ต่าง timeframes อาจประยุกต์ได้หลายอย่าง เช่น Day Traders อาจใช้ ชารต์ D1/H4 เป็นตัวหาจุดหลัก อาจมอง W1 ประกอบ ใช้ H1/M30 เพื่อดูโครงสร้างราคาและพัฒนาการราคาและหาจุดอ้างอิงที่ชัดเจน และ M15/M5 เป็นจุดเข้า-ออก, Scalper อาจจะใช้ H1 เป็นหลัก อาจมีตรวจเช็คกับชารต H4, หาจุดอ้างอิงชัดๆ จาก M30/M15 แล้วเปิดเข้าและออกที่ M5/M1 เป็นต้น ให้อ่านโครงสร้างราคาและ price action ประกอบ การอ่าน price action ทางแท่งเทียน อย่าไปอ่านแค่บาร์ต่อบาร์ ต้องอ่านเป็น อาการ (effort and result) ว่า บาร์พวกนี้ต่อเนื่องบอกอะไร เช่น ให้ความสำคัญการปิด (bar close) ของแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่ (body size) และ ดูหาง (wick) ยิ่งเป็นการปิดในพื้นที่แนวรับต้าน
ทีมงาน : thaiforexbroker.com