5 เทคนิคการจับจังหวะเทรด Pullback ทำกำไรจากจุดย่อ

เคล็ดลับในการเทรด Forex ในตลาดแห่งนี้มีหลากหลายรูปแบบมากๆ หนึ่งในนั้นที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันไม่น้อยก็คือการเทรดในรูปแบบ “Pullback” ว่ากันว่ามันคือรูปแบบที่กราฟราคามักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อเข้าสู่เทรนด์ใดเทรนด์หนึ่งและในบทความนี้เราจะไปทำความรู้จักกับมันพร้อมเทคนิคการจับจังหวะเข้าเทรด Pullback กันครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • Pullback คือการย่อตัวของราคา โดยราคามีการปรับตัวสวนทางกับแนวโน้มหลักชั่วคราว ก่อนที่จะกลับไปเคลื่อนที่ตามแนวโน้มเดิม
  • มีเครื่องมือหรือเทคนิคในการเทรดจับจังหวะ Pullback มาแนะนำ 5 อย่างด้วยกันคือ Breakout pullback, Horizontal Steps, Trendline, Moving Average, Fibonacci Retracement
  • Breakout Pullback คือราคาวิ่งทะลุแนวรับ-แนวต้านและ Pullback ย้อนกลับมาทดสอบ ส่วน Horizontal Steps คือกรณีที่ราคา Pullback แบบ Sideway
  • ส่วน Trendline คือราคา Pullback กลับมาที่เส้นแนวโน้มหลักแล้วหาจังหวะเข้าเทรด เช่นเดียวกับเส้น Moving Average ที่ใช้เป็นระดับการเข้าเทรด Pullback ได้ เมื่อราคาวิ่งมาแตะ
  • และสุดท้าย Fibonacci Pullback คือการเทรดเมื่อราคา Pullback กลับมาที่ระดับ Fibonacci Retracement สำคัญ เช่น 38.2%, 50%, 61.8% เป็นต้น

Pullback คืออะไร?

  • Pullback เรามักจะคุ้นกับคำว่าราคา”ย่อตัว” ซึ่งหากเป็นแนวโน้มขาขึ้น ราคาก็จะปรับตัวลดลงนิดนึงก่อนพุ่งกลับขึ้นไปตามเทรนด์ เช่นเดียวกับเทรนด์ขาลงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลงต่อ
  • เพราะอย่างที่ทราบกันว่าตลาด Forex ไม่ได้เคลื่อนที่แบบเส้นตรงมันจะต้องมีช่วงที่เป็นคลื่นแนวโน้มหลักและคลื่นปรับฐาน ซึ่งก็คือ Pullback นั่นเอง
  • จังหวะ Pullback ส่วนมากเทรดเดอร์จะใช้จังหวะนี้ในการเข้าเทรด โดยรอให้ราคาย่อตัว(Pullback) ก่อนที่จะเปิดสถานะตามแนวโน้มหลักต่อไป
ตัวอย่างของกราฟราคาแบบ Pullback
รูปตัวอย่างของกราฟราคาแบบ Pullback ที่วิ่งสวนทางแนวโน้มหลักชั่วคราวเหมือนเป็นการ”ดึงกลับ” ก่อนจะปล่อยและวิ่งตามแนวโน้มหลักเหมือนเดิม ซึ่งเป็นจังหวะที่เทรดเดอร์หลายคนนนิยมเข้าเทรด

5 เทคนิคเทรดแบบ Pullback

เมื่อรู้จักแล้ว Pullback คืออะไร ทีมงานของเราก็อยากจะแชร์เทคนิคพื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ 5 แบบในการเทรด Pullback เผื่อว่าเทรดเดอร์คนไหนเห็นแล้วว่าน่าสนใจอยากจะลองเอาไปปรับใช้ในการเทรดจริงก็ไม่ว่ากันครับ

1. Breakout pullback

  • เทคนิคแรกเลยคือ Breakout pullback มันคือการเกิด Pullback หลังจากที่ราคาทะลุแนวรับ-แนวต้าน ราคามักจะกลับไปทดสอบแนวนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับวิ่งไปตามทิศทางที่มันทะลุออกมา
  • ซึ่ง Breakout pullback จะพบเจอได้บ่อยมากๆ เพราะราคาแทบจะ Breakout ในทุกๆ วัน หากใครจับจังหวะนี้ได้ก็เท่ากับโอกาสทำกำไรอยู่ตรงหน้าแล้ว
  • ยกตัวอย่างจากในรูปจะเห็นว่าราคาวิ่งทะลุแนวต้านไปได้ก่อนจะย้อนกลับมาทดสอบที่แนวต้านเดิม(หรือก็คือแนวรับใหม่) ซึ่งจังหวะนี้เทรดเดอร์หลายคนมักจะเปิดออเดอร์ Buy ที่แนวสำคัญนี้
  • แต่ถ้าให้ทีมงานแนะนำ อยากให้รอราคายืนยันก่อน โดยวาง Buy Stop ไว้ที่จุดสูงสุดที่ราคา Breakout ออกมาดีกว่า เพื่อป้องกัน False Breakout นั่นเอง
ตัวอย่างการเทรดหลังจากเกิด Breakout
ตัวอย่างการจับจังหวะเทรดหลังจากเกิด Breakout ของราคา ราคามักจะกลับมาทดสอบแนวรับ/แนวต้านเดิมที่ทะลุ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงนิยมเข้าออเดอร์ที่จุด Buy หรือสามารถวาง Buy Stop ไว้ที่แนวเส้นประก็ได้ เพื่อรอให้ราคายืนยันการ Breakout

2. ระนาบขั้นบันได (Horizontal Steps)

  • อีกหนึ่งรูปแบบที่มักจะเจอคือการ Pullback แบบออกไปทาง Sideway มากกว่าแบบกลับตัวสั้นๆ คือเทรดเดอร์จะสังเกตุได้เลยว่ามันคล้ายกับรูปบันได้ที่กำลังเดินขึ้นหรือเดินลงตามเทรนด์
  • ซึ่งรูปแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยเท่ากับรูปแบบแรก แต่มีข้อดีคือเทรดเดอร์สามารถหาจังหวะเข้าเทรดได้ง่ายกว่าแบบแรก เพราะราคาวิ่งในกรอบแคบๆ
  • แต่ถ้าแนะนำก็คงจะรอให้ราคาทะลุออกจากกรอบ Sideway เสียก่อนค่อนเข้าเทรด เพื่อให้ราคายืนยันทิศทางก่อน และที่น่าสนใจอีกก็คือเทรดเดอร์สามารถขยับ Stop Loss เลื่อนตามแนวบันไดได้ด้วย
  • ยกตัวอย่างจากรูปภาพเช่น เมื่อเจอลักษณะ Pullback แบบ Sideway เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ Buy ภายในกรอบ Sideway หรือตั้ง Buy Stop เหนือกรอบ Sideway ก็ได้ พร้อมขยับ SL ไว้ที่ขั้นบันได้ก่อนหน้า
ลักษณะการ Pullback แบบขั้นบันได
ตัวอย่างลักษณะการ Pullback แบบเป็นขั้นบันได สังเกตรูปแบบกราฟจะวิ่งเป็นแนว Sideway มากกว่าแบบสวนทางกับแนวโน้มหลัก โดยเทรดเดอร์สามารถวางคำสั่ง Buy Stop ไว้เหนือขั้นบันได้หรือเข้า Buy ภายในกรอบ Sideway ก็ได้

3. เส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline)

  • ต่อมาเป็นการจับจังหวะ Pullback โดยใช้เส้น Trendline ซึ่งรูปแบบนี้คือเทรดเดอร์ต้องยืนยันแนวโน้มพร้อมกับวาดเส้น Trendline ให้ครบสมบูรณ์ก่อน (คือการที่ราคาสร้างฐานชันขึ้นหรือลง 3 จุดเป็นต้นไป)
  • ดังนั้นรูปแบบการ Pullback ตามเส้น Trendline ต้องรอให้เกิดฐานแนวโน้มที่ชัดเจนก่อนและรอให้ราคา Pullback มาที่เส้นแนวโน้มจากนั้นถึงเข้าออเดอร์ตามแนวโน้มหลัก
  • คำแนะนำคือเมื่อราคาเกิด Pullback กลับไปที่เส้นแนวโน้มแล้ว รอให้ราคาทะลุผ่านจุดสูงสุด/ต่ำสุด อันสุดท้ายก่อนจึงเข้าออเดอร์ตาม ดังตัวอย่างในรูปภาพ
  • อันที่จริงรูปแบบ Trendline มีข้อเสียคือต้องรอนานกว่าราคาจะทำฐานได้ 3 จุด เพราะเทรดเดอร์อาจจะพลาดโอกาสไปหลายครั้งแล้ว
การเทรด Pullback โดยใช้เส้น Trendline
ตัวอย่างการเทรด Pullback โดยใช้เส้น Trendline ซึ่งตามหลักแล้วจะเริ่มเข้าออเดอร์ได้ก็ต้องมีแนวโน้มยืนยันชัดเจนเสียก่อน (3 จุดขึ้นไป) เพราะบางครั้งเส้นแนวโน้มที่เชื่อมต่อเพียง 2 จุด อาจเป็นเพียงการเคลื่อนไหวราคาชั่วคราว ไม่ได้บ่งบอกถึงแนวโน้มที่แท้จริง

4. เส้น Moving Average

  • เส้น Moving Average จัดได้ว่าเป็นอินดิเคเตอร์ที่นิยมสูงสุดในการใช้วิเคราะห์จากเทรดเดอร์เพราะมันใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรวมถึงการใช้จับจังหวะ Pullback ด้วย
  • เส้น Moving Average นอกจากจะแสดงค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ของราคาแล้วมันยังใช้เป็นแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิกคือปรับไปตามราคาได้ด้วย ดังนั้น เส้น MA จะอยู่ช่วง Period ไหน ขึ้นกับเทรดเดอร์ว่าชอบเทรดระยะไหน
    • MA 20 = เทรดระยะสั้นและเส้นก็ไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคาและอาจมีสัญญาณหลอก
    • MA 50 = เหมาะกับระยะกลาง กรองสัญญาณรบกวนได้ดีกว่าเป็นเส้นที่สมดุลระหว่างความไวและความมั่นคง
    • MA 100 = เป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว แสดงภาพรวมแนวโน้มที่มั่นคงและเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง
  • การเข้าเทรดก็อาศัยจังหวะที่ราคา Pullback กลับมาแตะบริเวณเส้น MA แต่ต้องระวังนิดนึงถ้า Pullback บางครั้งอาจจะตัดเส้น MA ได้ (โดยเฉพาะ Period น้อย) ดังนั้นควรเว้นระยะห่างของ Stop Loss ให้ดี
การเทรด Pullback แบบใช้เส้น Moving Average
การเทรด Pullback แบบใช้เส้น Moving Average ขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์ว่าต้องการใช้เส้น MA ใน Period ไหน ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการคำนวนและวิเคราะห์ต่างกัน ถ้าแนะนำให้ใช้ MA 50 เพราะมีความสมดุล

5. Fibonacci Retracement

  • Fibonacci คือตัวเลขมหัศจรรย์ที่สามารถใช้ได้ในทุกๆ อย่างของโลกใบนี้และรวมไปถึงตลาด Forex ด้วย และเราสามารถใช้ปรากฏการณ์นี้ในการเทรด Pullback ได้เช่นกัน
  • Fibonacci มักจะถูกใช้ในการจังหวะกลับตัวของราคาดังนั้นเทรดเดอร์สามารถหาจุดที่คาดว่าราคาจะ Pullback กลับไปยังที่นั้นได้ พร้อมกับสามารถเข้าออเดอร์ในระดับที่เหมาะสมอย่างแม่นยำ
  • โดยระดับที่น่าจับตามองของตัว Fibonacci มี 3 ระดับที่ทีมงานขอแนะนำคือ
    • 38.2% = เป็นระดับที่ราคามักจะย่อตัวมา ถือว่าเป็นระดับ Level 1
    • 50% = ระดับนี้เป็นระดับที่ราคามักจะมีการกลับตัวอย่างมีนัยสำคัญ
    • 61.8% = ระดับนี้คือ Golden Ratio เป็นระดับ Fibonacci ที่สำคัญที่สุด
  • ทั้ง 3 ระดับนี้เทรดเดอร์สามารถแบ่งออเดอร์ออกเป็นไม้ย่อยๆ เพื่อเข้าตามระดับที่กล่าวไป
อินดิเคเตอร์ Fibonacci
การเทรดโดยใช้อินดิเคเตอร์ Fibonacci เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดที่ราคาจะ Pullback กลับมาในระดับสำคัญของ Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, 61.8% (กรอบสี่เหลี่ยม) ซึ่งเป็นระดับสำคัญที่ราคามักจะเกิดการกลับตัว

วิดีโอเกี่ยวกับ Pullback

ทีมงาน Thai Forex Broker ไปเจอคลิปวิดีโอตัวหนึ่งมาครับ เกี่ยวกับ วิธีระบุและเทรด Pullback อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคการซื้อขาย Price Action ที่เรียบง่าย ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เพิ่มเติมจากบทความได้เป็นอย่างดีและน่าสนใจอยากให้รับชมกันครับ

  • Focus นาทีที่ 00:40 แนวโน้มของตลาด
  • Focus นาทีที่ 02:05 ระดับ Pullback ที่น่าสนใจ
  • Focus นาทีที่ 07:20 สัญญาณเข้าเทรด
  • Focus นาทีที่ 11:49 ตัวอย่างการเทรด

สรุป

จากเทคนิคทั้ง 5 แบบล้วนมาจากการใช้เครื่องมือและอินดิเคเตอร์พื้นฐานในแพลตฟอร์มการเทรดทั่วไป ในการหาจังหวะเทรด Pullback อยากจะแนะนำเทรดเดอร์มือใหม่ที่จะเทรด Pullback แบบนี้ให้ลองเลือกใช้เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งและฝึกจนชำนาญดีกว่าที่จะใช้คละกันไปจนสร้างความเข้าใจผิดได้

สุดท้ายนี้ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทั้งหลายและสามารถนำไปต่อยอดสร้างระบบเทรดที่มีประสิทธิภาพเพื่อกำไรในตลาดแห่งนี้ได้

อ้างอิง

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ