โลกของการเทรด Forex มันไม่ใช่แค่การกด Buy/Sell แล้วรอลุ้นให้กราฟวิ่งไปให้ถูกทางแล้วปิดทำกำไรนะครับ เพราะมันมีรูปแบบการเทรดหลากหลายสไตล์มากๆ การเทรด Forex จะเรียกว่ามันเป็นเอกลักษณ์/ลายเซ็นต์เฉพาะบุคคลก็ไม่ผิด เรามาดูกันว่ามีสไตล์หรือรูปแบบหลักๆ ที่รู้จักกันอะไรบ้าง?
Highlight บทคัดย่อ
- Scalper: เทรดเดอร์ที่เน้นทำกำไรเล็กน้อยแต่เทรดหลายครั้งต่อวัน
- จุดเด่นคือทำกำไรได้ทุกวัน ไม่ต้องใช้ทุนเยอะ
- จุดด้อยคือต้องใช้เวลาเฝ้าหน้าจอนาน มีความเครียดสะสมง่าย
- Day Trader: เทรดเดอร์ที่เปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียว ไม่ถือข้ามคืน
- จุดเด่นคือลดค่า Swap พร้อมเทรดชนข่าว
- จุดด้อยคือต้องใช้เวลาติดตามพอสมควรและบางวันกราฟอาจวิ่งไม่แรง
- Swing Trader: เน้นเทรดตามคลื่นราคา (Swing)
- จุดเด่นคือไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทั้งวันและกำไรต่อครั้งสูงกว่า
- จุดด้อยคือใช้เวลาทำกำไรนาน เงินทุนอาจจมได้
- Position Trader: เทรดเดอร์ที่ถือออเดอร์ระยะยาวตามเทรนด์ใหญ่
- จุดเด่นคือใช้เวลาเฝ้าจอน้อยมาก มีโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่
- จุดด้อยคือใช้ความอดทนสูงเพราะต้องรอนานที่สุด ผลลัพธ์อาจจะไม่คุ้มกับเวลา
1. Scalper: รวดเร็วจบไว ในไม่กี่นาที

- มารู้จักสไตล์แรกกันนั่นก็คือ Scalper = เทรดเดอร์ที่เน้นเก็บกำไรเล็กๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเทรดหลายครั้งต่อวัน
- เครื่องมือที่ Scalper นิยมใช้ก็คือ….
- พวก Timeframes เล็ก (1 นาที, 5 นาที)
- อินดิเคเตอร์ เช่น Tick Volume, Moving Average (Period สั้น), RSI และอีกเยอะมากเพราะต้องหาจังหวะเข้าเทรดบ่อย
- พวก Price Action, Price Level, Order Book (Bid/Ask spread)
จุดเด่นของ Scalper
- ทำกำไรได้ทุกวัน: เพราะเน้นเทรดจบในเวลาสั้นๆ จึงมีโอกาสเทรดเยอะมากในแต่ละวัน
- ใช้ทุนไม่เยอะ: ถ้าเทรดเก็บกำไรสั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทุนเยอะ
- ไม่ต้องถือออเดอร์ข้ามคืน: การเทรดแบบถือออเดอร์ข้ามคืนจะต้องมีต้นทุนคือค่า Swap และการเทรดแบบ Scalping จะตัดต้นทุนส่วนนี้ออกไป
จุดด้อยของ Scalper
- ใช้เวลาเฝ้าหน้าจอนานมาก: เทรดสั้นๆ ก็จริง แต่เราเน้นเทรดบ่อยหาจังหวะเข้าแทบจะทุกเวลา มันใช้เวลาเฝ้าหน้าจอนานกว่าที่คิดอีกนะ
- ความเครียดสะสมง่าย: เมื่อเฝ้าหน้าจอ+จ้องกราฟนานๆ ความเครียด/ความกดดันมันสะสมได้ง่าย แถมต้องตัดสินใจให้ไวอีกในการเข้าเทรด
- ต้นทุนอื่นๆ: จริงอยู่ที่ไม่มีค่า Swap แต่มีค่า Spread หรือ Commission ที่สะสมเวลาเข้าเทรดแต่ละครั้งถ้าไม่คำนวณให้ดีอาจจะเป็นต้นทุนที่เยอะมากก็ได้
2. Day Trader: ต้องจบภายวันนี้!

- Day Trader = เทรดเดอร์ที่เปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียว ไม่ถือข้ามคืน แต่ออเดอร์อาจจะถือนานกว่า Scalper นิดหน่อย
- เครื่องมือที่ Day Trader นิยมใช้ก็คือ….
- Timeframe M15 – H1 (15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง)
- TF ที่กล่าวไปใช้วิเคราะห์ร่วมกับข่าวเศรษฐกิจด้วยเพราะการเทรดชนข่าวก็ถือว่าเป็น Day Trader
- อินดิเคเตอร์พวก MACD, RSI, Moving Average เป็นต้น
- การดูแนวรับ–แนวต้านแบบ Intraday
จุดเด่นของ Day trader
- ลดค่า Swap: เช่นเดียวกับ Scalper เลยถือไม่ถือออเดอร์ข้ามคืน จึงลด ต้นทุน ในส่วนของค่า Swap ไปได้
- เลือกช่วงเวลาเทรดได้: เราสามารถเลือกเทรด Sessions ตามสกุลเงินที่เราจะเทรด เช่น หากต้องการเทรด GBPUSD ก็เน้นเทรดในช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิด
- เทรดชนข่าว: ในวันที่ ข่าวเศรษฐกิจ จะประกาศ ช่วง1-2 ชั่วโมงก่อนและหลังข่าว กราฟมักจะมีการวิ่งที่รุนแรงตามระดับความสำคัญของข่าว เป็นโอกาสเข้าเทรดของ Day Trader
จุดด้อยของ Day Trader
- ต้องใช้เวลาติดตาม: ใครที่ยังเทรด Forex แบบ Part-Time อยู่ อาจจะลำบากเพราะต้องติดตามการเทรดพอสมควร แต่ถ้าเทรดช่วงที่เลิกงานแล้วก็โอเค
- บางวันกราฟวิ่งไม่แรง: ไม่ใช่ว่าทุกวันกราฟราคาจะวิ่งแรง ดังนั้นบางวันก็อาจจะไม่มีโอกาสเข้าเทรดที่เหมาะสมสำหรับ Day Trader
- ค่า Spread + Commission: กรณีเดียวกันกับ Scalper เลยครับ ไม่มีค่า Swap ก็จริง แต่ทุกการเทรดจะมี Spread/Commission แต่อาจจะน้อยกว่า Scalper เพราะเทรดไม่บ่อยเท่า
3. Swing Trader: จับจังหวะทำกำไร ทุกระยะ

- Swing Trader = เทรดเดอร์ที่เน้นเทรดตาม“คลื่นราคา” จนกว่ารอบของสวิงนั้นจะจบ ระยะเวลาอาจจะนาน 2–7 วัน หรือเจอจังหวะที่ราคากลับตัวเปลี่ยนรอบสวิงใหม่
- เครื่องมือที่ Swing Trader ต้องมี
- Timeframes ใหญ่ H4 – D1 (4 ชั่วโมง- กราฟรายวัน)
- อินดิเคเตอร์: Moving Average (Period นานขึ้น), Fibonacci Retracement (หาจุดกลับตัว)
- การอ่าน Trend Reversal Pattern
จุดเด่นของ Swing Trader
- ไม่ต้องเฝ้าจอทั้งวัน: เหมาะกับใครที่ทำงานประจำไปด้วย+เทรดไปด้วยเพราะใช้เวลาเข้า-ออเดอร์ไม่บ่อยเท่า 2 แบบก่อนหน้า
- กำไรต่อครั้งสูงกว่า: การเทรดหนึ่งครั้งหากราคาไปถูกทางมีโอกาสเก็บกำไรใหญ่กว่า เนื่องจากจับการเคลื่อนไหวของราคาที่กว้างกว่า
- ความเครียดไม่เยอะ: หากเทียบกับการเทรดแบบ Scalper หรือ Day Trader เพราะไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอนานๆ
จุดด้อยของ Swing Trader
- ใช้เวลาทำกำไรนาน: กว่าจะปิดออเดอร์ทำกำไรให้คุ้มค่าต้องรอให้รอบสวิงราคาจบลงแบบแท้จริงเสียก่อน ใช้เวลาประมาณ 2-3 วันอย่างต่ำ
- เงินทุนจม: ถ้าเราไม่มีทุนหนาหรือเยอะพอจะแบ่งไปเทรดอย่างอื่นด้วย = เงินส่วนนี้ต้องรอให้จบการเทรด Swing ไปแต่ละรอบ ซึ่งอาจจะนานมาก
- ต้นทุน+ความเสี่ยง: การถือออเดอร์ข้ามวันหรือสัปดาห์ แน่นอนว่าต้นทุนทั้ง Spread, Swap มาครบแน่นอน แถมอาจจะเสี่ยงเจอข่าวด่วนในวันหยุดอีก
4. Position Trader: สายถือยาว รอให้เป็นเห็นกำไร

- Position Trader = เทรดเดอร์ที่เน้นถือออเดอร์ระยะยาวตามเทรนด์ใหญ่ ประมาณหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน เน้นมองหาภาพรวมของแนวโน้มตลาดระยะยาว ไม่สนใจความผันผวนในระยะสั้นเลย
- เครื่องมือที่ Position Trader ชื่นชอบ
- Timeframe W1 – MN (รายสัปดาห์-รายเดือน)
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ของสกุลเงินนั้น, ข่าวเศรษฐกิจมหภาค, นโยบายของธนาคารกลาง
จุดเด่นของ Position Trader
- ใช้เวลาเฝ้าจอน้อยมาก: เพราะไม่ได้เทรดบ่อยหรือเทรดสั้น เน้นเข้าออเดอร์แล้วปล่อยให้ราคาวิ่งไปตามที่มันควรจะเป็น รอดูผลลัพธ์เท่านั้น
- กำไรก้อนใหญ่(ถ้าถูกทาง): หากเราถือออเดอร์แล้วราคาวิ่งถูกทางในแนวโน้มใหญ่หลายๆ เดือนลองคิดดูว่ามันจะวิ่งไปได้ไกลกี่ pips นั่นคือกำไรของเรา
- ลดความเครียดระหว่างวัน: การเทรดระหว่างวันจะเจอสัญญาณหลอกเยอะมาก ความเครียดสูงมากแต่ Position Trader เจอปัญหานี้น้อยเพราะเน้นมองภาพรวม ไม่สนใจความผันผวนสั้นๆ
จุดด้อยของ Position Trader
- ใช้ความอดทนรอสูง: ถ้าเงินร้อน เงินด่วน ไม่ควรมาเทรดสไตล์นี้เลยครับ เพราะการจะทำกำไรให้คุ้มค่าต้องอดทนรอนานมาก บางครั้งก็เสียโอกาสในการนำเงินไปลงทุนอื่นๆ
- มีโอกาสที่จะไม่คุ้มค่า: ในตลาด Forex ไม่มีคำว่าแน่นอน 100% ครับ ตอนเข้าออเดอร์แล้วระยะเวลาผ่านไปหลายเดือนราคาอาจจะวิ่งไปตามที่คาดไว้ แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่วันหนึ่งราคาจะวิ่งสวนออเดอร์ของเรา กำไรก็ลดลงเยอะมาก ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่รอ
แบบทดสอบเล็กๆ ค้นหาสไตล์ของคุณ
สำหรับใครที่เข้าใจสไตล์การเทรดยอดนิยมทั้ง 4 แบบแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน ลองทำแบบทดสอบด้านล่างนี้ดูครับ อาจจะพบคำตอบก็ได้!
|
คำถาม |
คะแนน | |||
| 1 | 2 | 3 | 4 | |
| มีเวลาว่างสำหรับการเทรดแค่ไหน? | ทั้งวัน | 1–3 H/วัน | 15–30 M/วัน | < 20 นาที |
| คุณรู้สึกยังไงกับการถือออเดอร์ข้ามคืน? | ไม่ชอบเลย | ไม่! | ได้เลย | ชอบมาก! |
| เมื่อเจอราคาที่ผันผวนมากคุณรู้สึกยังไง? | สบายมาก | พอได้ | ไม่ค่อยชอบ | ไม่ชอบเลย |
| Timeframes ที่คุณชอบใช้คือ? | M1–M15 | M30–H1 | H4–D1 | D1–W1 |
| เป้าหมายของคุณคือ? | สร้างรายได้รายวัน | เก็บกำไรต่อเนื่อง | ปั้นพอร์ตให้โตรายเดือน | ลงทุนระยะยาว |
แบบสอบถามสั้นๆ เพื่อวัดความเป็นตัวตนของเทรดเดอร์ว่าเหมาะกับสไตล์การเทรดแบบไหน อย่าลืมจดคะแนนและเช็คผลลัพธ์ด้วยนะครับ!
- ได้ 5-7 คะแนน: คุณคือ Scalper เทรดเร็ว จบไว ทำกำไรแบบสปีด เหมาะกับคนมีเวลาเฝ้าหน้าจอ
- ได้ 8-11 คะแนน: คุณคือ Day Trader เทรดรายวัน จบในวันเดียว เหมาะกับคนมีเวลาและชอบเทรดข่าว
- ได้ 12-16 คะแนน: คุณคือ Swing Trader เทรดตามคลื่นระยะกลางๆ ใช้ความแม่นยำจับจังหวะเทรด
- ได้ 17-20 คะแนน: คุณคือ Position Trader สายถือยาว ลงทุนแบบใจเย็น มองภาพรวมเทรนด์ใหญ่
วิดีโอเกี่ยวกับเทรดเดอร์สไตล์ Position Trading
ผมรู้สึกว่าหลายคนรู้จักเทรดเดอร์สไตล์ Scalper, Day Trader, Swing Trader กันมาพอสมควรแล้ว แต่น้อยคนจะรู้จักเทรดเดอร์สไตล์ Position ในคลิปวิดีโอนี้จะพูดเกี่ยวกับ การเทรดแบบ Position Trading ซึ่งเป็นการเทรดระยะยาวที่เน้นภาพรวมของตลาด ไปรับชมพร้อมกันครับว่ามีวิธีทำกำไรน่าสนใจแค่ไหน?
- Focus นาทีที่ 00:14 Position Trading คืออะไร?
- Focus นาทีที่ 00:57 ข้อดีของ Position Trading
- Focus นาทีที่ 03:07 กลยุทธ์เทรด Position Trading แบบที่ 1 Divergence
- Focus นาทีที่ 05:12 กลยุทธ์เทรด Position Trading แบบที่ 2 Carry Trade
- Focus นาทีที่ 06:52 กลยุทธ์เทรด Position Trading แบบที่ 3 Moving Averages
สรุป
หวังว่าบทความนี้จะทำให้เทรดเดอร์หลายๆ คนได้เจอสไตล์การเทรดในแบบที่เป็นตัวเองนะครับ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหนก็ตามขอแค่ชัดเจนในสไตล์ที่ใช่ ฝึกฝนให้เก่งมากขึ้น มีวินัยมากขึ้นและพัฒนาฝีมืออยู่ตลอดเวลา รับรองว่าอยู่รอดในตลาด Forex ได้แน่นอน
สุดท้ายแล้วเทรดเดอร์ที่เทรดได้นานไม่ใช่คนที่รู้เยอะที่สุดแต่คือคนที่เข้าใจตัวเองมากที่สุดครับ ดังคำคมในตำนานที่ว่า “ไม่ต้องบินให้สูง…อย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว…ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร…แค่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ”
ทีมงาน : thaiforexbroker.com

