อยากเทรด Forex ให้กำไร? คุณต้องมองการเทรดให้เหมือนนักธุรกิจ

เคยคิดบ้างไหมว่าเทรดมานานเท่าไรแล้ว ยังไม่กำไร เพราะอะไร? การเทรด Forex ไม่ควรจะมองแค่ว่าใช้เทคนิคการเทรดอะไร? Winrate เท่าไหร่? แน่นอนว่าบางวันมันก็ทำกำไรได้…แต่เมื่อมองภาพรวมแล้วมันคุ้มค่าจริงหรือ? นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องเริ่มมีวิธีคิดในการเทรด Forex ให้เหมือนวิธีคิดแบบธุรกิจ


Highlight บทคัดย่อ

มองการเทรด Forex ให้เป็นเหมือนธุรกิจหนึ่งอย่าง ต้องมีหลักการพื้นฐาน 6 ข้อของการทำธุรกิจดังนี้

  1. วางเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายในการเทรดทั้งระยะสั้น-กลางและยาว
  2. แผนการเทรด: แนวทาง/วิธีการเทรดตั้งแต่เริ่มจนจบ
  3. ต้นทุนการเทรด: มองต้นทุนการเทรดทั้งวงจรให้ออกเพื่อ คิดคำนวณความคุ้มค่าและกำไรสุทธิ
  4. กลยุทธ์การเทรด: วิธีการที่จะสร้างกำไรตามความเหมาะสมของสถานการณ์ตลาด
  5. Take Profit: ปิดกำไรในจุดที่คุ้มค่า, ปริมาณที่คุ้มค่า โดยอิงปัจจัยภาพรวมของตลาด
  6. วัดผล-ปรับปรุง-พัฒนา: นำข้อมูลตั้งแต่เริ่มจนจบการเทรด มาวิเคราะห์หาจุดอ่อนพร้อมปรับปรุงและพัฒนาจุดแข็ง

วิธีคิดแบบธุรกิจเป็นยังไง?

สมมุติว่าเรามีธุรกิจหนึ่งอย่าง ไม่จำกัดนิยามว่าเป็นธุรกิจอะไร…พื้นฐานสุดๆ เลยของธุรกิจคุณต้องมีแนวคิดหรือปัจจัยที่ต้องคิดเมื่อทำธุรกิจดังนี้ครับ…

  1. วางเป้าหมาย: ไม่มีใครทำธุรกิจเพื่อสนุกไปวันๆ หรอกครับ ทุกธุรกิจต้องมีเป้าหมายเสมอ แต่จะแบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น-กลาง-ยาว อันนี้แล้วแต่ธุรกิจเลย
  2. มีแผน/ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ: ก่อนจะทำธุรกิจอะไร เราต้องมีความรู้เกี่ยวกับ สินค้า/บริการแบบเชิงลึกให้เหมือนเราว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นพร้อมกับแผนธุรกิจแบบเป็นขั้นตอน 1-2-3-4 ให้ชัดเจน
  3. รู้ต้นทุนทั้งหมด: เข้าเรื่องเงินสักที ทำธุรกิจหนึ่งอย่าง เราจำเป็นต้องรู้ต้นทุนทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพราะบางครั้งเงินเล็กน้อยที่เรามองข้ามอาจจะสะสมเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ก็ได้
  4. ทำกลยุทธ์การตลาด: คราวนี้ก็เข้าสู่วิธีหาเงิน ถ้าจะให้บอกว่าทำธุรกิจควรมีกลยุทธ์อะไรบ้าง บทความนี้คงเขียนไม่พอ แต่เอาเป็นว่าทุกธุรกิจต้องมีแผนการขาย/กลยุทธ์การตลาดอยู่เสมอ
  5. ปิดการขายให้ได้: จากข้อที่ 4 กลยุทธ์จะถือว่าสำเร็จก็ต่อเมื่อลูกค้าได้รับสินค้า/บริการและจ่ายเงินให้แก่ธุรกิจ ดังนั้นจึงต้องมีวิธีคิดในการปิดการขายให้สำเร็จด้วย
  6. วัดผล-ปรับปรุง-พัฒนา: ทั้งหมด 5 ข้อที่กล่าวไปนั้นมันคือข้อมูลที่มีค่ามาก ในการนำมาวิเคราะห์ / ปรับปรุง / พัฒนาต่อยอดหรือหาจุดอ่อนเพื่อแก้ไขธุรกิจต่อไป
ขั้นตอนการบริหารธุรกิจ ความหมายในธุรกิจทั่วไป การนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรด Forex
1. วางเป้าหมาย ตั้งเป้ารายได้/กำไรทั้งระยะสั้น กลาง ยาว
  • กำหนดเป้ากำไร (%) ต่อเดือน/ปี
  • ควบคุม Drawdown ไม่เกินที่ตั้งไว้
2. มีแผน/ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ รู้จักตลาด กลุ่มลูกค้าและสินค้า/บริการ
  • ศึกษาตลาด Forex, คู่เงิน, ข่าวเศรษฐกิจ
  • กลยุทธ์เทรดที่เลือกใช้
3. รู้ต้นทุนทั้งหมด วิเคราะห์และควบคุมต้นทุนธุรกิจ
  • รู้ค่า Spread+Commission
  • ค่า Swap
  • ค่าดำเนินการที่เกิดขึ้นจริง
4. ทำกลยุทธ์การตลาด วางแผนหาลูกค้าและสร้างรายได้
  • วางกลยุทธ์การเทรด เช่น Scalping, Day Trading, Swing

เลือกจังหวะเข้า-ออกที่เหมาะสม

5. ปิดการขายให้ได้ แปลงโอกาสเป็นรายได้จริง ตั้ง Take Profit อย่างมีเหตุผลตาม RR และเงื่อนไขตลาด
6. วัดผล-ปรับปรุง-พัฒนา ประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงธุรกิจ
  • ทำ Trading Journal
  • วิเคราะห์ข้อผิดพลาด
  • ปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ตารางนี้เปรียบเทียบให้เห็นถึงมุมมองการเทรด Forex ที่เหมือนกับการทำธุรกิจนั้นควรมองอย่างไร ตั้งเรื่องการตั้งเป้าหมายไปจนถึงการพัฒนาต่อยอด


วิธีมองการเทรดให้เป็นธุรกิจ

ทีนี้ถ้าเราจะมองการเทรด Forex ให้เหมือนกับธุรกิจหนึ่งอย่างของเรา โดยอ้างอิงวิธีคิดแบบพื้นฐาน 6 ข้อก่อนหน้าที่ได้กล่าวไปครับ

1. วางเป้าหมาย = กำหนดเป้าหมาย

  • อันนี้คือเบสิกพื้นฐานที่คล้ายๆ กัน เมื่อทำธุรกิจ เราต้องกำหนดเป้าหมายทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาวให้เห็นภาพที่เป็นไปได้ ซึ่งเทียบกับการเทรด Forex ก็ประมาณว่า…
    • เป้าหมายระยะสั้น = ทำกำไร 5% ต่อเดือน, รักษา Drawdown ไม่เกิน 20% ของเงินทุน
    • เป้าหมายระยะกลาง = ปั้นพอร์ตให้โต 50% ภายใน 1 ปี
    • เป้าหมายระยะยาว = เกษียณด้วยเงินจากการเทรด Forex
  • การมีเป้าหมายอย่างน้อยเราก็มีเหตุผลแล้วว่าเราเทรด Forex ไปเพื่ออะไร? แต่ทั้งนี้เป้าหมายต้องสอดคล้องกับทุน เวลาและทักษะของตัวเองด้วย
การกำหนดเป้าหมายการเทรดในระยะต่างๆ
ตัวอย่างการกำหนดเป้าหมายการเทรด Forex ของเทรดเดอร์ทั้งแบบระยะสั้น-ระยะกลาง-ระยะยาว เพื่อให้เราวัดผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่

2. แผนธุรกิจ = แผนการเทรด

  • แผนธุรกิจคือแผนที่ในการทำกำไรให้องค์กร ถ้างั้นมันก็คงจะเหมือนแผนการเทรด เพื่อกำหนดแนวทางการเทรดให้ชัดเจน
  • แผนการเทรดจะกำหนดภาพรวม เช่น
    • โบรกเกอร์ Forex: เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับความต้องการ เช่น อยากได้โบนัสก็เลือก XM
    • กลยุทธ์การเทรด: คุณจะเทรดแบบไหน? (Scalping, Day Trade, Swing Trade, Etc.)
    • การบริหารความเสี่ยง: ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่อการเทรดหนึ่งครั้งคือเท่าไหร่?
    • การ บริหารเงินทุน: เงินทุนสูงสุดในการเทรดหนึ่งครั้งคือเท่าไหร่?
    • สินทรัพย์ที่เทรด: ต้องการเทรดสกุลเงินหรือทองคำหรืออะไรบ้าง?
    • โอกาสอื่น: เงินทุนส่วนหนึ่งอาจจะลงทุน Copy Trade อีกส่วนเอาไว้ซื้อ EA ที่ช่วยได้
ตัวอย่างองค์ประกอบของแผนการเทรด
ตัวอย่างแผนการเทรดเบื้องต้น เทรดเดอร์บางคนอาจจะมีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่านี้ก็ตามสะดวก แค่มีแผนเป็นแนวทางเทรดเป็นอันใช้ได้

3. ต้นทุนธุรกิจ = ต้นทุนการเทรด

  • ทุกอย่างบนโลกนี้มีต้นทุนครับ อยู่ที่ว่าใครมองออกว่ามันคือต้นทุน การเทรด Forex ก็เช่นกัน เราจำเป็นต้องรู้ว่ามี ต้นทุนอะไรบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับกำไรที่เราทำได้
    1. ค่า Spread/Commission: นี่คือต้นทุนหลักในการเข้าและออกจากออเดอร์ เพราะมันคือรายได้ของโบรกเกอร์ด้วย ดังนั้นจำเป็นมากที่ต้องเข้าใจต้นทุนส่วนนี้เพราะยิ่งเทรดบ่อย (เช่น Scalper) ต้นทุนส่วนนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้น
    2. ค่า Swap: อีกหนึ่งต้นทุนหลักในการเทรด Forex สำหรับบางคนที่ชอบถือออเดอร์ข้ามคืน
    3. ค่าธรรมเนียมในโบรกเกอร์: ส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเทรดแต่มันคือต้นทุนที่เราต้องเสียเงินไป เช่น ค่าธรรมเนียมฝาก/ถอน, ค่าธรรมเนียมกรณีบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหว
    4. ค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องมือและการเรียนรู้: อย่าลืมนะครับว่าทุกครั้งที่เราลงทุนในความรู้ เช่น ซื้อหนังสือสอนเทรด, คอร์สสอนเทรด รวมถึงซื้อ EA, ซื้อสัญญาณ Signal มันคือต้นทุนที่ต้องเอามาคิดด้วย
ต้นทุนต่างๆ ในการเทรด Forex
เทรดเดอร์ที่คิดแบบนักธุรกิจจะมองทุกไม้ที่เปิดเหมือนการลงทุนและผลลัพธ์ที่ได้ (กำไรหรือขาดทุน) คือยอดขายหลังหักต้นทุน หากมองต้นทุนชัดก็จะวางแผนการเทรดได้ง่ายขึ้น

4. กลยุทธ์การตลาด = กลยุทธ์การเทรด

  • ไม่มีธุรกิจไหนใช้กลยุทธ์การตลาดแค่แบบเดียวตลอดไปหรอกครับ มันต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดปัจจุบัน เช่น จากเมื่อก่อนแจกใบปลิว เดี๋ยวนี้เน้นยิง Ads บนแพลตฟอร์ม
  • การเทรด Forex เราก็ต้องมองให้ออกว่าตลาดแบบไหนควรใช้กลยุทธ์แบบไหนจึงจะเหมาะสม แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเองด้วย เช่น
    • Scalping = เน้นยอดขายสูง กำไรต่อชิ้นน้อย แต่ขายเร็ว เหมาะกับตลาดที่สภาพคล่องสูง+เงินทุนน้อย
    • Day Trade = อันนี้เน้นจบดีลในวันเดียว ไม่ค้างสต็อกข้ามคืน(ลดต้นทุน) เหมาะกับตลาดที่สภาพคล่องสูงเช่นกัน
    • Swing Trade = เหมือนธุรกิจที่มองหาเทรนด์ปัจจุบันและทำตามเทรนด์นั้น จะเป็นแผนระยะกลาง เหมาะกับตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน
    • Position Trade = เน้นลงทุนระยะยาว มี Vision ในการมองธุรกิจแบบกว้างไกล (เก็งกำไรตามมูลค่าจริง) เหมาะกับตลาดที่มีเสถียรภาพ
4 กลยุทธ์การเทรด Forex ที่นิยม
แต่ละกลยุทธ์การเทรดทั้ง 4 แบบในรูปต่างก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตลาด Forex คนละแบบ เทรดเดอร์จะเลือกใช้กลยุทธ์ไหนอยู่สภาวะตลาดและความสะดวกของเทรดเดอร์เองครับ

5. ปิดการขายให้ได้ = Take Profit

  • Point สำคัญในการทำธุรกิจคือการ “ปิดการขาย” เพราะมันคือจุดที่คุณได้รับรายได้จากการดำเนินธุรกิจตามข้อ 1-4 มาแล้ว เช่นเดียวกับการเทรด Forex มี Take Profit (TP) หรือการปิดออเดอร์เพื่อทำกำไรนั่นเอง
  • แต่การ Take Profit มันต้องมีปัจจัยเรื่องความคุ้มค่าเข้ามาเกี่ยวด้วย ดังนั้นการจะ Take Profit ที่คุ้มค่าและเหมาะสมเราต้องดู
    • Risk/Reward = ว่ามันคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เราตั้งไว้หรือ RR ที่เหมาะสมกับการเทรดที่สุดก็คือ 1:2 คือยอมเสี่ยง 1 ส่วน แลกกับกำไร 2 ส่วน
    • จุดที่ควรตั้ง TP = ไม่ใช่ว่าพอเห็นเลขฟ้าปุ๊ป ก็ปิดปั๊บ แบบนี้เรียกอาการ FOMO อย่างหนึ่ง เราต้องกำหนดจุดที่เหมาะสมในการตั้ง TP เช่น แนวรับ/แนวต้านหรือง่ายๆ ก็ตั้ง Trailing Stop ไว้ก็ได้
    • ภาพรวมของตลาด = แม้จะมีจุด TP อยู่แล้ว แต่การดูภาพรวมของตลาด เช่น แนวโน้มใหญ่หรือพฤติกรรมราคาบน Timeframes ใหญ่ จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นว่า ควรถือรันกำไรต่อหรือปิดเอากำไรไว้ก่อน

 วิธีการตั้ง Take Profit อย่างมีหลักการ

6. วัดผล-ปรับปรุง-พัฒนา = ต่อยอดของเดิม

  • ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีสิ่งนี้ทุกครั้งหลังจากปิดการขายได้สำเร็จ ก็คือ วัดผล ปรับปรุงและพัฒนา อย่างต่อเนื่องและเราจะเอามาใช้กับการเทรด Forex ด้วยครับ
  • วัดผล: สถิติตัวเลขระหว่างที่เราเทรดคือข้อมูลชั้นยอด เราต้องเอาข้อมูลนี้มาวิเคราะห์ให้ได้เช่น
    • ดูว่ากำไรขาดทุนเป็นอย่างไร
    • กลยุทธ์ที่ใช้มีประสิทธิภาพแค่ไหน
    • คู่สกุลเงินไหนทำกำไรได้ดีหรือคู่ไหนทำให้ขาดทุนบ่อย
  • ปรับปรุง: ภายในข้อมูลการเทรดทั้งหมดแน่นอนว่าจะต้องมีจุดที่เรายังต้องปรับปรุง เช่น
    • กลยุทธ์บางส่วนไม่เหมาะกับสภาวะตลาดในช่วงข่าวประกาศ
    • จุดเข้าเทรดบางจุดยังไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร
  • พัฒนา: เรียนรู้เทคนิคการเทรดใหม่ๆ เรียนรู้การใช้เครื่องมือช่วยใหม่ๆ รวมถึงติดตามข่าวสารจาก โบรกเกอร์ใหม่ที่มีคุณภาพ ก็เป็นการพัฒนาเช่นกัน
การวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาการเทรด
ข้อสุดท้ายสำหรับการมองเทรด Forex ให้เหมือนธุรกิจคือการพัฒนาต่อยอด หาจุดผิดพลาดเพื่อแก้ไขอยู่เสมอ รับรองว่ายืนระยะในตลาด Forex ได้นานแน่นอน

วิดีโอเทรดให้เหมือนกับธุรกิจ

 

ในวิดีโอนี้จะพูดถึงภาพรวมการเทรด(ไม่ได้เจาะจงว่าเทรดสินทรัพย์อะไร) ทำยังไงให้การ เทรดเหมือนกับเรากำลังทำธุรกิจอยู่ จะมีแนวคิดเหมือนหรือแตกต่างจากในบทความของเราหรือไม่ ต้องลองติดตามรับชมกันครับ

  • Focus นาทีที่ 1:18 ต้องมีแผนธุรกิจ
  • Focus นาทีที่ 1:38 อยากเทรดในตลาดอะไร? Forex, หุ้น, คริปโต ฯลฯ
  • Focus นาทีที่ 2:26 อยากเทรดสินทรัพย์อะไรบ้าง? EUR/USD, Bitcoin, ทองคำ
  • Focus นาทีที่ 3:04 ลงทุนด้วยเงินทุนเท่าไหร่?
  • Focus นาทีที่ 4:38 ความเสี่ยงที่รับได้ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
  • Focus นาทีที่ 6:50 กลยุทธ์การเทรดเป็นยังไง?
  • Focus นาทีที่ 9:17 ติดตามและจดบันทึกผลการเทรด
  • Focus นาทีที่ 11:52 มีขั้นตอนและกิจวัตรที่ชัดเจน

สรุป

ในการบริหารธุรกิจยังมีรายละเอียดอีกเยอะมากนอกเหนือจากที่กล่าวในบทความนี้ แต่พื้นฐานทั่วไปแล้วก็หนีไม่พ้น 6 ข้อที่บอกไปแน่นอนครับ หวังว่าเทรดเดอร์ที่อ่านจะเข้าใจและปรับแนวคิดนี้มาใช้ในการเทรด เพื่อให้การเทรดไม่ใช่แค่ “เทรดเล่นๆ แต่เป็นธุรกิจหนึ่งที่ต้องอยู่รอดให้ได้”

หากเราคิดว่าการเทรด Forex คือธุรกิจหนึ่งของเราแล้ว เราก็จะไม่เทรดด้วยความเสี่ยง เราก็จะคิดและวางแผนรอบคอบมากขึ้น เราก็จะบริหารเงินให้ถูกต้องมากขึ้นและธุรกิจนี้ของเราจะสร้างกำไรให้เราเป็นกอบเป็นกำแน่นอน

ทีมงาน: thaiforexbroker.com

สารบัญ