หลายคนที่เทรด Forex เป็นประจำคงไม่มีใครเทรดแบบมั่วๆ เดาสุ่มว่าราคาจะขึ้นลงแบบไม่มีข้อมูลอะไรรองรับใช่ไหมล่ะครับ? ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าการเทรดหรือการลงทุนทุกชนิดบนโลกใบนี้ (ไม่นับการพนัน) ล้วนแล้วแต่ต้องการการวิเคราะห์แนวโน้มทั้งสิ้น แล้วการวิเคราะห์สำหรับการเทรด Forex มันมีกี่แบบกันนะ? มาหาคำตอบไปพร้อมกันครับ
Highlight บทคัดย่อ
- การวิเคราะห์กราฟ Forex หลักๆ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
-
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (TA) ที่เน้นการศึกษาพฤติกรรมราคาในอดีตผ่านกราฟ
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (FA) ที่เน้นการประเมินมูลค่าสกุลเงินจากข้อมูลทางเศรษฐกิจ
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้เครื่องมือหลักๆ เช่น อินดิเคเตอร์ (MA, RSI, Fibonacci), รูปแบบกราฟ (ต่อเนื่อง, กลับตัว) และระดับราคาสำคัญ (แนวรับ/แนวต้าน, Demand/Supply Zone)
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานพิจารณาจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ (GDP, เงินเฟ้อ, การว่างงาน), นโยบายธนาคารกลาง, สถานการณ์ทางการเมือง
- จุดเด่นของ TA คือใช้เป็นสัญญาณซื้อขายได้เร็วและแม่นยำ แต่มีจุดด้อยคือมักจะเกิดสัญญาณหลอก ส่วนจุดเด่นของ FA คือเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงินแต่ไม่สามารถหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำ
การวิเคราะห์กราฟ Forex มีกี่แบบ?
- อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่าเราไม่สามารถเทรด Forex โดยใช้การคาดเดาได้ (ถ้าไม่เทรดแบบพนันนะ) ดังนั้นเทรดเดอร์ Forex จึงจำเป็นจะต้องมีสกิลการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาคู่สกุลเงินติดตัว
- ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์กราฟ Forex นั้น สามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
-
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis): อธิบายง่ายๆ คือเน้นวิเคราะห์ตัวกราฟ
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis): อธิบายง่ายๆ คือเน้นวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คืออะไร?
- มารู้จักกับการวิเคราะห์แบบแรกกันก่อนคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) หรือที่เรียกกันติดปากว่า TA หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ TA คือ กราฟราคาครับ
- ทำไมต้องกราฟราคานั่นก็เพราะ TA จะเน้นการศึกษาพฤติกรรมราคาคู่เงินในอดีตผ่านการแสดงออกมาทางกราฟราคานั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือย้อนกลับไปดูว่ากราฟวิ่งยังไง? วิ่งเป็นรูปแบบไหน? โดยมีหลักการ 3 ข้อคือ
-
- ราคาสะท้อนทุกสิ่ง (Price Discounts Everything): ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากข่าวหรือความเชื่อมั่นของเทรดเดอร์ มันถูกสะท้อนผ่านกราฟราคาหมดแล้ว
- ราคามีแนวโน้ม (Price Moves in Trends): กราฟราคาจะเคลื่อนไหวแบบมีทิศทางและแนวโน้ม(Trend)
- ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย (History Repeats Itself): เทรดเดอร์จะตอบสนองต่อเหตุการณ์ในรูปแบบเดิม ด้วยพฤติกรรมเดิมๆ เสมอ นั่นจึงทำให้กราฟมีความเป็น Patterns ซ้ำๆ ยังไงล่ะ

เครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคมันก็จะมีเครื่องมือที่เทรดเดอร์มักจะนิยมใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคาอยู่ไม่น้อยเลยครับ แต่หลักๆ แล้วทีมงานของเราขอสรุปมาแบบกระชับคือ 3 อันดังนี้ครับ
1. อินดิเคเตอร์ (Indicators)
- มันคือสูตรคณิตศาสตร์ที่คำนวณจากข้อมูลราคาหรือปริมาณการซื้อขายในอดีตแล้วนำมาสร้างเป็นเครื่องมือตัวบ่งชี้สภาวะตลาดรวมถึงบอกสัญญาณการเข้าเทรดได้ด้วย ตัวอย่างเช่น
- Moving Averages (MA): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- Relative Strength Index (RSI): ออสซิลเลเตอร์ที่วัดความเร็วและความแรงซื้อ/ขาย
- Fibonacci Retracement: ตัวเลขสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) เพื่อระบุระดับราคาที่มีนัยยะสำคัญ
2. รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
- ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย ซึ่งเป็นที่มาของการเกิด Chart Patterns นี่แหละ รูปแบบราคาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บนกราฟ สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของกราฟราคาว่าจะเป็น…
- กราฟรูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns): มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม
- กราฟรูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns): แนวโน้มปัจจุบันอาจสิ้นสุดลงและเกิดแนวโน้มใหม่
3. ระดับราคาสำคัญ (Price Levels)
- คือพื้นที่หรือระดับราคาที่มักจะเกิดแรงซื้อ/ขายจำนวนมากและมักเป็นระดับที่มีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา ตัวอย่างเช่น
- แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาดันไม่ให้ราคาลงไปต่ำกว่านี้ ส่วนแนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเป็นหลังคาไม่ให้ราคาขึ้นไปสูงกว่านี้
- Demand/Supply Zone: โซนราคาที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย มีแนวหลักการคล้ายกับแนวรับ/แนวต้าน แต่ Zone พื้นที่จะระบุกว้างกว่า

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) คืออะไร?
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) คือการประเมินค่าของสกุลเงินโดยอ้างอิงจากข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของประเทศที่เกี่ยวข้อง ว่ามูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงินนั้นในระยะยาวควรเพิ่มขึ้น(แข็งค่า)หรือลดลง(อ่อนค่า)
- การจะได้ข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานส่วนมากก็จะต้องนำมาจากเว็บไซต์เศรษฐกิจหรือแหล่งข่าวการเงินจากที่เชื่อถือได้ เช่น Forex Factory, Investing.com เป็นต้น
- โดยปัจจัยหลักๆ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางพื้นฐานของคู่เงินนั้นๆ ก็คือ
-
- ข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
- นโยบายของธนาคารกลาง: เน้นไปที่การปรับอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน
- สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศสกุลเงิน: ความมั่นคงทางการเมืองและนโยบายรัฐบาลที่ส่งผลต่อนักลงทุน
- เหตุการณ์ไม่คาดฝัน: เช่น ภัยธรรมชาติ หรือวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่สามารถกระทบต่อเศรษฐกิจ

ตัวอย่างผลกระทบของข่าว Fundamental

- จากกราฟตัวอย่างคือกราฟ USDCAD จะเห็นว่ามีสัญลักษณ์ธงชาติแคนาดาและ USA อยู่ด้านล่าง แสดงถึงช่วงเวลาในการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจของสกุลเงิน USD และ CAD
- ในรูปภาพเกิดเหตุการณ์ FED (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% ตามที่คาดการณ์ (Forecast) และเท่ากับครั้งก่อนหน้า (Previous) และกราฟ USDCAD มีการพุ่งขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากเหตุการณ์ FED คงอัตราดอกเบี้ย
- การวิเคราะห์ด้วยเหตุผลว่าทำไมทำไมกราฟ USDCAD จึงพุ่งขึ้นเมื่อ FED คงดอกเบี้ย?
-
- ความแข็งแกร่งของ USD โดยรวม: แม้ดอกเบี้ยคงที่ แต่อย่าลืมว่ามีแถลงการณ์ (Fed Press Conference) จาก FED ตามมาด้วย นักลงทุนอาจมองเห็นสัญญาณเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีและเชื่อมั่นที่จะถือสกุลเงิน USD ต่อไป
- ความอ่อนแอของ CAD: เมื่อเราดูข้อมูลทางฝั่งแคนาดาก็พบคำตอบว่า Ivey PMI ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของแคนาดา ต่ำกว่ามาตรฐานที่ 50 ก็อาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ CAD อ่อนค่า
- การปิด Position ของนักลงทุน: เมื่อมีการประกาศข้อมูลเหล่านี้ออกมา เทรดเดอร์ที่ถือคำสั่ง Sell อาจจะปิดออเดอร์เพราะเห็นแนวโน้มจากข้อมูลที่ได้กล่าวไป
ตารางเปรียบเทียบจุดเด่น-จุดด้อยของทั้งสอง
บางคนคิดว่าจำเป็นต้องเลือกวิเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ขอบอกเลยว่าไม่ใช่คร้าบ! เราควรใช้ทั้ง 2 แบบวิเคราะห์ร่วมกัน แต่จะให้น้ำหนักทางฝั่งไหนเยอะกว่าอันนี้แล้วแต่บุคคลละกันครับ ทีมงาน Thai Forex Broker เลยสรุปความแตกต่าง รวมถึงจุดเด่น จุดด้อยของทั้ง 2 แบบมาให้ด้านล่างนี้
Technical Analysis | Fundamental Analysis | |
ข้อมูลหลักที่ใช้ | รูปแบบกราฟราคาในอดีตและปริมาณการซื้อขาย | ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมืองและปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อมูลค่าสกุลเงิน |
เป้าหมาย | จับจังหวะการเข้า-ออกตลาด | ประเมินมูลค่าที่แท้จริงและแนวโน้มระยะยาว |
เหมาะสำหรับ | Day Trading, Swing Trading | Swing Trading, Position Trading, Investment |
จุดเด่น | – ให้สัญญาณซื้อขายที่ค่อนข้างชัดเจนและรวดเร็ว
– สามารถนำไปใช้ได้กับทุกสภาวะตลาด – มีเครื่องมือและเทคนิคหลากหลายให้เลือกใช้ |
– เข้าใจถึงปัจจัยขับเคลื่อนราคาในระยะยาว
– ให้มุมมองในเชิงลึกเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ |
จุดด้อย | – สัญญาณอาจเกิดสัญญาณหลอก (False Signal)
– ต้องระวังปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรง – การตีความสัญญาณมีความแตกต่าง |
– ไม่แม่นยำในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวระยะสั้น
– ต้องใช้การติดตามข้อมูลอย่างเคร่งครัดเพื่อวิเคราะห์ – ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน |
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและทางปัจจัยพื้นฐานมีความแตกต่างกันอย่างมาก เทรดเดอร์ควรใช้การวิเคราะห์ทั้ง 2 แบบ ขึ้นกับการสไตล์การเทรดของเราเป็นแบบไหน เช่น หากเราเป็น Scalping ก็เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากกว่าแต่ต้องไม่ลืมในการรับข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อเลี่ยงช่งที่ผันผวนรุนแรง
วิดีโอเกี่ยวกับการวิเคราะห์ Technical vs Fundamental
เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างและข้อดีของแต่ละแบบให้เห็นภาพชัดขึ้น ทีมงานเลยไปหาวิดีโอที่อธิบายความแตกต่างระหว่าง Technical vs Fundamental แบบไหนดีกว่ากัน? ซึ่งในเนื้อหาวิดีโอได้อธิบายได้น่าสนใจมากครับ
- Focus นาทีที่ 00:42 Fundamental Analysis คืออะไร?
- Focus นาทีที่ 01:11 Technical Analysis คืออะไร?
- Focus นาทีที่ 01:38 การเปรียบเทียบทั้ง 2 แบบ
สรุป
หากจะแบ่งให้ชัดเจนระหว่างการวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน ก็อาจจะบอกได้ว่าวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ในการหาจุดเข้าเทรดส่วนการวิเคราะห์ทางพื้นฐานใช้ในการมองกรอบระยะยาวของคู่เงิน แบบนี้น่าจะทพให้หลายคนเข้าใจได้ง่ายและเร็วที่สุด แต่อย่างไรก็ตามเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จต้องผสมผสานการวิเคราะห์ทั้งสองแบบเพื่อการวิเคราะห์ที่รอบคอบและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรเพื่ออยู่รอดในตลาด Forex แห่งนี้
ทีมงาน : thaiforexbroker.com