5 วิธีลดความเสี่ยงแบบมือโปร เมื่อเทรด Forex แบบไม่ใช้ Stop Loss

หลายๆ ครั้งเทรดเดอร์มักจะเทรด Forex แบบไม่มีการตั้ง Stop Loss ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเพราะว่าลืมหรือมั่นใจในกลยุทธ์ก็ตามแต่ แค่อยากจะบอกว่า…มันเสี่ยงมากๆ เลยครับที่ไม่มีการตั้ง Stop Loss ทุกครั้งในการเทรด ซึ่งทางออกของปัญหานี้อยู่ในบทความนี้แล้วครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • 5 วิธีเทรดแบบความเสี่ยงต่ำเมื่อไม่มี SL วิธีที่ 1 เน้นการปรับ Leverage ให้มีอัตราส่วนต่ำไว้ก่อน เช่น 1:50 โดยมีเป้าหมายหลักคือรักษาเงินทุนในพอร์ต ส่วนกำไรเป็นเป้าหมายรอง
  • วิธีที่ 2 ใช้การลดขนาด Lot ในแต่ละครั้งของการเทรด ไม่ Overtrade โดยแนะนำให้ใช้บัญชีที่รองรับจำนวน Lot เล็กๆ ได้ เช่น บัญชี Cent
  • วิธีที่ 3 ใช้หลัก Hedging เข้ามาช่วยหากราคาเคลื่อนที่ผิดทางที่คาดการณ์ไว้ เพื่อยื้อเวลาให้เราวางแผนสำรองหรือเทรดให้กำไรมาถัวเฉลี่ยได้
  • วิธีที่ 4 เน้นการเทรดตามแนวโน้มหลักของราคาปัจจุบัน เพื่อป้องกันการขาดทุนและเพิ่มโอกาสกำไรมากกว่า
  • วิธีที่ 5 เน้นเทรดน้อยครั้งแต่ละครั้งให้เทรดแบบมีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ Timeframes ใหญ่ (4H, Day, Week) เป็นหลัก

5 วิธีลดความเสี่ยงในการเทรดเมื่อไม่ใช้ Stop Loss

การลดความเสี่ยงแบบมืออาชีพเมื่อเราเทรดแบบไม่มี Stop Loss ในที่นี้เราจะเน้นไปที่การปรับองค์ประกอบและปัจจัยที่ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของราคามีความเสี่ยงที่จะขาดทุนให้ลดลง ซึ่งมี 5 วิธีดังนี้ครับ

1. ปรับ Leverage

  • Leverage ก็คือการยืมกำลังซื้อจากโบรกเกอร์(คล้ายๆ ยืมเงิน) เพื่อให้เราสามารถเปิดออเดอร์ได้ใหญ่กว่าทุนที่มีจริง แม้เราจะมีเงินน้อย แต่ก็เทรดในปริมาณที่มากขึ้นได้ เช่น
    • เปรียบเทียบง่ายๆ เช่น Leverage 1:2 เท่ากับคุณสามารถซื้อของได้เป็น 2 เท่าของเงินทุนจริง
    • ถ้าเรามีเงิน 10 ดอลลาร์และต้องการซื้อขาย EUR/USD หากไม่มี Leverage จะสามารถซื้อขาย EUR/USD ได้มูลค่าตามเงินทุนของคุณเท่านั้น (อาจจะเล็กน้อยมาก)
    • แต่ถ้าใช้ Leverage 1:2: เงิน 10 ดอลลาร์ของเราจะทำหน้าที่เป็น “หลักประกัน” (Margin) ทำให้สามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขาย EUR/USD ได้ถึง 20 ดอลลาร์
    • ถ้าได้กำไรจาก EUR/USD มา 10% = กำไร 2$ (ถ้าไม่มี Leverage ได้แค่ 1$) กลับกันหากขาดทุน 10% = เสีย 2$ (แบบไม่ใช้ Leverage เสีย 1$)
  • จากตัวอย่างเทรดเดอร์คงเห็นแล้วว่า Leverage ถ้ายิ่งมีอัตราส่วนที่มาก ความเสี่ยงและกำไรก็จะมากตามไปด้วย ดังนั้นการลดความเสี่ยง = ลด Leverage
  • ถ้าแนะนำควรตั้งค่า Leverage ต่ำไว้ก่อน เช่น 1:50 หรือ 1:20 เพื่อควบคุมความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่เราไม่มีการตั้ง Stop Loss ไว้ เพื่อรักษาเงินทุนเป็นเป้าหมายหลัก การทำกำไรเป็นเป้าหมายรอง
ตารางแนะนำอัตราส่วน Leverage ที่ปลอดภัยตามขนาดเงินทุน
จำนวน Leverage ที่เลือกใช้หากเทรดแบบไม่มี Stop Loss ควรเน้นไปที่ระดับที่ความเสี่ยงต่ำ เช่น 1:20 – 1:50 ไม่ว่าเงินทุนของเราจะมีจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เพื่อรักษาเงินทุนเอาไว้ให้ได้มากที่สุดในกรณีขาดทุน

2. ลดขนาด Lot

  • วิธีต่อมาคือการลด ขนาด Lot ที่เราเข้าเทรด หลายคนคงจะรู้ว่าถ้าขนาด Lot ใหญ่ มันจะมีผลต่อการคำนวนการเคลื่อนที่ของแท่งเทียน ถ้าถูกทางก็กำไรสูงแต่ถ้าผิดทางก็ขาดทุนสูงเช่นกัน (Overtrade นั่นแหละ)
  • ตัวอย่างเปรียบเทียบการใช้ Lot 1 และ Lot 0.01 สำหรับคู่เงินหลัก
    • มูลค่าต่อการเคลื่อนไหว 1 pip: 1 Lot ≈ $10 ต่อ pip / 0.01 Lot ≈ $0.10 ต่อ pip
    • หากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง -50 pips เทรด 1 Lot จะขาดทุน $500 ในขณะที่เทรด เทรด 0.01 Lot ขาดทุนแค่ $5
    • ถ้ามีเงินทุนแค่ 300$ และไม่มีการตั้ง Stop Loss ใช้ Lot 1 = ล้างพอรต์ไปแล้ว แต่ 0.01 Lot ขาดทุนแค่ 5$
  • โดยเฉพาะเมื่อเรารู้แล้วว่าไม่มี Stop Loss จำนวน Lot โดยรวมควรจะต่ำเข้าไว้ เพื่อลดความเสี่ยงคล้ายๆ กับ Leverage เช่นกัน หรือใช้บัญชีประเภท Cent, Micro เพื่อจำกัดขนาด Lot อัตโนมัติ
เปรียบเทียบบัญชี Cent สำหรับการลดขนาด Lot ในการเทรด Forex
การลดขนาด Lot เป็นอีกวิธีจำกัดความเสี่ยงเมื่อเทรดแบบไม่มี Stop Loss อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้บัญชีประเภท Cent หรือ Micro ที่มีคุณสมบัติในการรองรับจำนวนเงินน้อยและขนาด Lot ที่เล็กกว่าแบบมาตรฐาน

3. ใช้ Hedging ป้องกัน

  • อีกหนึ่งวิธีที่เทรดเดอร์หลายคนมักจะทำกรณีที่ไม่ใช้ Stop Loss ก็คือการใช้หลักการ Hedging เข้ามาจัดการในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
  • หลักการ Hedging แบบง่ายก็คือการเปิดออร์เดอร์สวนทาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงของออเดอร์เดิมที่ขาดทุนอยู่ เช่น
    • คาดการณ์ไว้และเปิด Buy EUR/USD ไว้แต่ราคาดิ่งลงเหวด้วยเหตุสุดวิสัย ทำให้ขาดทุนไปจำนวนหนึ่ง
    • แต่เราไม่อยากปิดออเดอร์นี้ทิ้งไปและไม่ตั้ง Stop Loss ด้วย จึงเปิด Sell EUR/USD ในขนาด Lot เท่ากันตามไป
    • สถานะพอร์ตตอนนี้ก็จะยังขาดทุนในปริมาณที่เท่ากับตอนก่อนเปิด Sell ไม่วาราคาจะขึ้นหรือลงเพราะสถานะ Buy/Sell จะหักลบกันเอง
  • ส่วนใหญ่เทรดเดอร์จะใช้ Hedging เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนเยอะกว่าเดิมและรอให้ราคากลับตัวไปตามที่คาดการณ์ตอนแรกหรือเทรดออเดอร์ใหม่เพื่อถัวเฉลี่ยกำไร/ขาดทุน ให้หมดไป
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Hedging เมื่อเทรดแบบไม่มี Stop Loss
การใช้หลัก Hedging เข้ามาแก้ไขเมื่อราคาวิ่งไปผิดทางเป็นอีกวิธีที่ไม่ต้องพึ่งพา Stop Loss อีกทั้งยังมีโอกาสได้กำไรคืนมาหากราคากลับมาวิ่งในทิศทางที่คาดการณ์ แต่มีข้อจำกัดคือค่อนข้างซับซ้อนและแก้ไขยากมาก อีกทั้งใช้เวลานานพอสมควร

4. เทรดตามเทรนด์หลัก

  • อีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงเวลาที่เราเทรดแบบไม่มี Stop Loss ก็คือการเทรดไปตามเทรนด์หลักของตลาด ณ ปัจจุบัน ต่อให้วิเคราะห์กราฟเปล่าก็ตาม การเทรดตามเทรนด์หลักมีโอกาสชนะมากกว่าเสมอ
  • ตัวอย่างแนวทางในการเทรดตามเทรนด์หลักเช่น หากแนวโน้มปัจจุบันคือเทรนด์ขาลง เราเน้นเปิด Sell มากกว่า Buy เพราะไม่ว่าราคากำลังอยู่ในช่วงคลื่นไหนมันจะลงไปตามเทรนด์หลักอยู่ดี
  • แต่หากกรณีที่เราเปิด Sell ช่วงที่เทรนด์กำลังจะหมดแรงและกลับตัว จำนวน Pips ที่จะขาดทุนมันก็ยังไม่มากเท่าเทรดสวนเทรนด์แน่นอน และเรายังปรับไปเทรดตามเทรนด์ใหม่ได้ด้วย
กราฟแสดงกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์หลักในตลาด Forex
จากกราฟตัวอย่างคือแนวโน้มขาขึ้นแบบชัดเจน เทรดเดอร์ควรเลือกเล่นฝั่ง Buy เป็นหลักเพราะมีโอกาสทำกำไรเยอะกว่าอีกทั้งถ้าเราเทรดแบบไม่มี Stop Loss แล้ว การเทรดตาม Trend หลัก จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าด้วย

5. เทรด TF ใหญ่ เน้นคุณภาพ ไม่เน้นจำนวน

  • วิธีสุดท้ายหากเราเทรด Forex แบบไม่มี Stop Loss เราควรเน้นการเทรดแต่ละครั้งให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเทรดบ่อยๆ เพราะการเทรดบ่อยครั้งควบคุมความเสี่ยงยากกว่าอีกทั้งยังต้องวิเคราะห์ซับซ้อนกว่าด้วย
  • การเทรดโดยที่เรามั่นใจ รอให้สัญญาณการเข้าเทรดชัดเจนเท่านั้นจึงจะเข้าเทรด ในระยะยาวอาจจะทำกำไรโดยรวมมากกว่าการเทรดบ่อยๆ เดี๋ยวกำไร เดี๋ยวขาดทุนสลับไปมาแบบนี้
  • ซึ่งการจะเทรดน้อยครั้งแต่มีประสิทธิภาพนั้นมันบังคับทางอ้อมว่าเราต้องเทรดบน Timeframes ใหญ่ไปโดยปริยาย เช่น TF 4H, Daily, Weekly เป็นต้น TF เหล่านี้มีประโยชน์ตรงที่
    • ลดสัญญาณรบกวนระยะสั้นๆ เห็นแนวโน้มชัดเจนกว่า
    • มีเวลาตัดสินใจและวางแผนเทรดได้นานกว่า
    • แนวโน้มใน TF ใหญ่มีโมเมนตัมและแรงส่งมากกว่า จึงเชื่อมกับข้อ 4 ในการเทรดตามเทรนด์
ประโยชน์ของการใช้ Timeframes ขนาดใหญ่ในการวิเคราะห์และเทรด Forex
การใช้ Timeframes ใหญ่เป็นหลักในการวิเคราะห์และเข้าเทรด จะทำให้เทรดเดอร์มองเห็นแนวโน้มและสัญญาณเข้าเทรดชัดเจนกว่า แม่นยำกว่า แต่ก็ทำให้การเทรดของเราเกิดขึ้นไม่บ่อยนักซึ่งแทบจะไม่ต้องวาง Stop Loss เลยก็ได้

วิดีโอเกี่ยวกับการเทรดแบบไม่มี Stop Loss

ในเมื่อบทความของเรากำลังพูดถึงการลดความเสี่ยงในการเทรด Forex แบบไม่มี Stop Loss ทีมงานเลยไปเจอวิดีโอตัวหนึ่งที่อธิบาย กลยุทธ์การเทรดแบบไม่ใช้ Stop Loss เช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วผลลัพธืค่อนข้างน่าตกใจมาก จะเป็นยังไงลองไปรับชมกันนะครับ

  • Focus นาทีที่ 1:36 อธิบายกลยุทธ์
  • Focus นาทีที่ 3:20 ตัวอย่างการเทรด 2 ตัวอย่างแบบยาวๆ
  • Focus นาทีที่ 5:22 Back test กลยุทธ์ 100 ครั้ง
  • Focus นาทีที่ 7:12 สรุปผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้

สรุป

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าบทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนหรือแนะนำว่าให้เทรด Forex แบบไม่มี Stop Loss นะครับ การเทรด Forex ทุกครั้ง เทรดเดอร์ควรจะต้องมีการตั้ง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อจำกัดความเสี่ยง แต่ถ้าไม่ได้ตั้ง Stop Loss มันก็พอจะมีวิธีลดความเสี่ยงที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกันเหมือนในบทความนี้

สุดท้ายไม่ว่าเทรดเดอร์จะตั้ง Stop Loss หรือไม่ การบริหารความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ดีเพราะต่อให้ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งแต่เทรดด้วยความเสี่ยงสูง เช่น Overtrade หนักมาก ยังไงพอร์ตเราก็เสียเงินอยู่ดีครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ