การเทรดแบบ Martingale
การเทรดที่เราได้ยินบ่อย ๆ เข้าหูแทบทุก เว็บ หรือทุก เพจ ทุก clip กลยุทธการเทรดแบบ Martingale การเทรดแบบ เบิ้ลล็อต หรือ เทรดแบบ ทบไม้ เอาแบบแนววิชาการ ครับ คือกาเทรด แบบ ใช้ กลยุทธ์ Martingale เป็นการเพิ่ม position เมื่อราคาตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับทิศทางที่คุณต้องการ ขณะที่ Anti- Martingale ก็เพิ่มออร์เดอร์เมื่อการเทรดนั้นไปในทิศทางที่คุณต้องการ ถ้าดูกันผิวเผินแล้ว Martingale เหมือนจะขัดกับกฏทองของการเทรด คือการ Let Profit run และ การ cut loss เพราะว่าเทรดเดอร์ เทรดในขนาดออร์เดอร์ที่ใหญ่กว่าเดิมเมื่อขาดทุน ซึ่งทำให้ระบบ martingale ไม่ต่างอะไรกับการเทรดที่เรียกว่า การเฉลี่ยขาลง ซึ่งหมายความว่า ซื้อมากกว่าเดิมเมื่อ position นั้นเคลื่อนไหวทิศทางตรงข้ามกับคุณ ซึ่งทาให้จุด Breakeven นั้นใกล้คุณมากกว่า
ระบบ Martingale นั้นใช้หลักคณิตศาสตร์ไม่ได้ใช้หลักการเทรด ขณะที่อินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการเข้าเทรดนั้นมาจากหลักการเทรด ระบบ Martingale ใช้การจัดการหน้าตักและขนาดของ position
ลอง วางไม้การเทรดแบบคร่าว ๆ ดูนะครับ ตามตารางข้างล่าง ว่า อัตราเสี่ยงเป็นยังงัย ใช้ทุนเท่าไหร่
ตารางข้างบนแสดงการขาดทุนติดกัน 14 ครั้ง ซึ่งต้องใช้มาร์จิ้น$81,920 ความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์นี้คือ 1 ใน 10,000 หรือ 0.01% ดูเหมือนจะเป็นการเสี่ยงซักหน่อยเพราะว่า Martingale นั้นอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าคุณต้องมีเงินเพียงพอที่จะกลับมาจากการขาดทุนติด ๆ กันทุกครั้ง
ตัวอย่งข้างบนเป็นแบบดั้งเดิมของ Martingale และ EA ในโปรแกรม MT4 ในสมัยนี้ที่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทีนี้ลองมาดูเรื่องความจะเป็นของระบบที่มีอัตรา win 65 % หมายความว่าระบบเทรดนี้มีอัตราชนะมากกว่าการโยนเหรียญหัวก้อย นอกจากนี้ แทนที่จะทาการ Double Lot จากออร์เดอร์ที่ขาดทุน แต่ละกันเทรดนั้นเป็นไปตามการใช้หลัก Lot Exponent หรือ Lot Multiplier ที่ 1.6X
หากเราปรับลดอัตราคูณลงจาก 2x มาเป็น 1.6x จะเห็นความเปลี่ยนแปลง อย่างแรก ความต้องการ margin ที่ต้องใช้ในออร์เดอร์ที่ 14th ซึ่งใช้ Margin เพียง $4,504 อย่างที่สองความน่าจะเป็นของออร์เดอร์ที่ 14 ตอนนี้เท่ากับ 1 ในล้าน หมายความว่ามันจะต้องเป็นการเทรดที่ได้กาไรแน่ ๆ ก่อนที่คุณจะถึง Level 14 ซึ่งจะทาให้คุณสามารถทากาไรครอบคลุมขาดทุนได้ แต่อาจจะไม่เร็วเท่ากับ 2X เพราะนี่มีอัตราส่วนแค่ 1.6x
Forex Martingale Method
หากเราต้องการลดความเสี่ยงลงไปอีก ก็ อาจปรับ อัตรา จาก 1.6x ลงมาเหลือ 1.4x หรือ 1.2x ก้จะทำให้ใช้ทุนลดลง ไปอีก
สิ่งที่เราควรรู้และต้องมี สำหรับใช้ในการเทรดแบบนี้ คือ
1.ตีเส้นเทรนด์ไลน์เป็น
2. วางแนวรับ-แนวต้านเป็น
สองส่วนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและการลากได้ในระดับหนึ่งครับ
วิธีการ ของผมที่ใช้อยู่ ไม่ได้หมายความว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
1. เปิดกราฟระดับ Day
2. ตีเส้น Trend เพื่อดูว่าอยู่เทรนด์ไหน
3. วางระดับแนวรับแนวต้านไว้ หลายๆ ระดับเพื่อกำหนดจุดเข้า/ออก อาจใช้ High / Low ก่อนหน้า หรือ Fibonaci เป็นต้น
4. เล่นตามเทรนด์ – เปิดออร์เดอร์เล่นตามเทรนด์ โดยใช้ Lot Size เท่ากันทุกไม้เปิดออร์เดอร์เมื่อกราฟย่อ ไปตามระดับแนวรับแนวต้านที่วางไว้ และ Cut Loss ทันทีเมื่อหลุดเทรนด์
5. หากเข้าถูกทาง – และกราฟเกิดการเบรคเอาท์ ก็ต้องกล้าที่จะเปิดเพิ่ม (ถ้าขาดทุนกล้าเปิดเพิ่ม ตอนกำไรก็ต้องกล้าเปิดเพิ่ม ถ้าไม่เช่นนั้นก็ขาดทุนเห็นๆ)
จากนั้น Let Profit Run ไปเรื่อยๆ เมื่อกราฟราคา มาถึงระดับแนวรับแนวต้านที่วางไว้หรือจำนวน Target Price ที่ต้องการ ให้ทยอยปิดทำกำไรหรือจะปิดทั้งหมดก็ไม่ว่ากัน
Close all our positions
ยังมีอีกวิธีครับ โดยอาจต้องมีการคำนวณพอสมควรครับ กับ Money Management
1.จะไม่เปิด ไม้ 2 ไม้ 3 แบบ สุ่มสี่สุ่มหน้า ครับ ทุกไม้ที่เข้า ต้องมี แนวรับ หรือ แนวต้าน เก่า ที่มีแรงต้านได้
หรือ มี เส้น EMA หรือ อะไร หรือ แม้ แต่ Pivot หรือ fibo 50 ก็ใข้ได้จะ เห็นว่ากราฟของผมนั้น เส้น แนวนอน เต็มไปหมดครับ
เพราะ อะไร หรือ ครับ เพราะ กราฟ มันมีทั้งเด้งขึ้น และ ลง ครับ
2.การบริหารพอร์ต ในเมื่อจาก ข้อ 1 เมื่อคุณมี จุดเข้าที่เหมาะ สม ประกอบกับ การวางแผน การเทรดของคุณแล้ว สิ่งที่ คุณต้องมี ก็ คือ MM นีแหละ ครับ ตัวดี เลย ที่จะพสาพอร์ตของท่าน เติบโตขึ้น ทุกวัน โดย ปกติ แล้ว นะครับ ท่านเลือ แพลนเอาเลย ครับ จะเอาแบบไหน
2.1 Balance/10000 = Lot ที่เปิด
2.2 Balance/20000 = Lot ที่เปิด
2.3 Balance/30000 = Lot ที่เปิด
2.4 Balance/40000 = Lot ที่เปิด
2.5 Balance/50000 = Lot ที่เปิด
——–
2.6 Balance/100000 = Lot ที่เปิด
เลือกเอาเลย ครับ จะเอาแบบไหน ยิ่งตัวเลขมากก็ยิ่งปลอดภัย ครับ เพราะมันหมายความว่า ต้องมีมาร์จิ้นให้ กราฟวิ่งแบบปลอดภัยจะ แกตัวตอนไหนก็ได้เมื่อผิด ทาง
3.ศึกษา ธรรมชาติ ของ กราฟที่ท่านเทรด แน่นอนครับ การที่ท่านจะใช้ระบบ นี้ในการเทรด จะต้อง รู้ว่า หุ้น หรือ อนุพันธ์ หรือ คุ่เงินตัวไหน มี ธรรมชาติ ของมันอย่างไร อย่างที่บอกครับ กราฟ มันไม่ได้วิ่งเป็นเส้่นตรงมันวิ่งเด้งขึ้นเด้งลงเสมอ
อย่าง EUR/USD ธรรมชาติของกราฟ ก็วิ่งเฉลี่ย 100-250 ต่อวันแบบบวนไปวนกลับมีเด้งมีย่อให้ปิดได้ตลอด
4.เทรดตามเทรน ครับ การเทรด แบบนี้ ถ้า บังเอิญ จะไปเทรดสวนเทรน มันจะเป็นการเพิ่ม โอกาศ และความเสีั่ยง สูงมาก ๆ ที่จะ โดน ลาก ยาวและทำให้วางแผน ไม่ถูก ในกรณี ที่่ กราฟ มันทะลุทุกแนวที่ได้วางแผน ไว้ อีก ข้อหนึ่ง ก็คือ เทรน ขาลง คนก็จะจ้องทุบกัน ส่วนเทรน ขาขึุ้น คนก็จ้อง จะ Buy กัน ดังนั้น หาเทรนของกราฟให้ เจอ ครับ อย่าเทรดสวนเทรน
5.Cut loss สิ่งที่ท่านต้องวางแผนไว้ ก็คือ ในกรณีที่ มันผิดทางจริงๆ ต้องและกล้ายอมรับที่ จะ Loss ได้มาก หรือ น้อย แค่ไหน ก่อนที่ จะวางออเดอร์ แรก เมื่อมันผิด แผน และ เกินเป้าที่ ต้องคิดว่าจะ Loss ก็ จงยอมเสียเถิด ครับ สิ่งที่ต้องทำ คือ รักษาพอร์ตให้รอดก่อน ครับ จากนั้นโอกาศทำกำไรก็ ยังมีเสมอ การ Cut loss ที่เหมาะ สมก็ ประมาณ 10-20 % ของพอร์ตเป็นอะไรที่เหมาะสม พอสมควร ครับ เพราะยังมีทุนให้ ปั้นใหม่อยู่เสมอ ส่วน EA นั้น มี มากมายครับ หาได้ไม่ยาก ศึกษาแค่ อัตราคูณ ที่เหมาะสมกับทุนของเราให้ดี แค่นั้นครับ พบกันใหม่ครับ ตอนต่อไป
จัดอันดับ 10 โบรกเกอร์ Forex ดีที่สุดในไทย
ช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจเลือก โบรกเกอร์ Forex ได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา เทรดกับโบรกเกอร์ที่มีคุณภาพ ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องการโดนโกงอย่างแน่นอน
โบรกเกอร์ Forex 10 อันดับทีมงาน : thaiforexbroker.com