Multi-charts ใช้อย่างไรบ้าง ตอน 1

Multi-charts ใช้อย่างไรบ้าง ตอน 1

Multi-charts ใช้อย่างไรบ้าง ตอน 1

                การเทรดชาร์ตเปล่า นอกจากเข้าใจเรื่องออเดอร์ทำงานอย่างไรแล้ว เข้าใจเทรดเดอร์อื่นๆ ที่จะเข้าเทรด และเข้าใจเงื่อนไขตลาด การมองให้ละเอียดลงไป โดยเฉพาะแท่งเทียนด้วยการมองหลาย timeframes ประกอบกันจะทำให้ท่านเข้าใจตลาดและละเอียดในการเทรดมากขึ้น

                หลักๆ ทั่วไปก็จะเห็นว่ามีการนำเรื่องหลาย timeframe มาช่วยในการวิเคราะห์เป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องของเทรนและภาพรวมของราคาที่เกิดขึ้นและกำลังเกิดเพื่อสัมพันธ์กับ trade setup ที่ต้องการจะเทรด เป็นการเพิ่มความเป็นไปได้ในเรื่องของ confluence ต่าง timeframes ด้วย แต่จริงๆ การมองหลาย timeframe สามารถใช้ได้มากกว่านั้น

                ข้อ 1. ใช้ multi-charts ช่วยให้ท่านเข้าใจเรื่องรูปแบบ price action ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

                รูปแบบ price action ไม่ว่าจะเป็น Pin bar, Engulfing bar, Doji, 2 Bar Reversal เป็นต้น  ถ้าท่านอยากรู้ว่าตรรกะการเทรดอะไรอยู่เบื้องหลังของแต่ละรูปแบบ price action ที่เกิดขึ้นท่านต้องดูรายละเอียดใน timeframe ย่อยลงไป

                ยกตัอย่างเช่น Pin bar ในชาร์ต D1 และก็มี 2 timeframes ย่อยลงมาคือ H4 และ H1 ถ้าเป็นการพูดทั่วๆ ไปเมื่อมองชาร์ต D1 ก็จะบอกว่า buy trading pressure เข้ามา และสามารถเอาชนะกลายเป็น Pin bar เกิดขึ้น เมื่อมองลงมาที่ชาร์ต H1 ท่านจะเข้าใจว่าทำไม  ก่อนที่ราคาจะลงราคาได้ทำ consolidation แล้วราคาลงมา และมาทำ consolidaiton ด้านล่าง  เกิด trading transactions มี positons เกิดขึ้น เกิดการสะสม positions  เป็นการสะสมของขาใหญ่จนกว่าเกิด false break ด้านล่างที่ลงไปเพื่อล่า stop เลยทำให้เรียก fasle break ว่าเป็น stop hunt เมื่อราคาเบรคกรอบด้านล่างเพื่อล่า stop เพื่อเข้าเทรดที่ราคาดีกว่าและเด้งขึ้นมาเบรคกรอบด้านบน ก็ทำให้เกิด trapped traders  ก็จะมีทั้งการตั้ง stop loss และปิดเอง ก็จะทำให้เกิด buy market orders เข้ามาเป็นหลัก ถ้าไม่มี sell  ออเดอร์ก็จะทำให้ราคาขึ้นเร็ว พร้อมทั้งมีการเข้าเทรดด้วย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า buying pressure เกิดที่ pin bar ของชาร์ต D1

                นั่นคือตรรกะที่บอกว่า Pin bar ทำไมมักจะทำงานดีเมื่อใช้กับการเปิดเทรดที่แนวรับหรือแนวต้าน หรือ supply/demand เมื่อตอนราคากลับมา เพราะมี trapped traders ที่จำต้องออกเมื่อราคาวิ่งสวนอยู่นั่นเอง จึงยิ่งทำให้ราคาไปทางที่เกิด Pin bar ได้ง่าย พอเกิดขึ้นข้อมูลก็เปลี่ยนไปด้วย เทรดเดอร์ที่รอเข้าก็สนใจเทรดไปทางนั้นอีก เทรดเดอร์ที่ถือ positions อยู่ก็ยิ่งจะหาทางออกอีกเพราะ market orders ไม่ได้มาจากการเข้าเทรดอย่างเดียว มาจากเทรดเดอร์ที่ออกจากตลาดด้วย และยิ่งเป็นพวกที่ต้องออกเพราะติดลบมากขึ้น ยิ่งทำให้ราคาวิ่งเร็ว

อีกตัวอย่างนี่เป็น Engulfing Bar ที่นิยมกันเมื่อเปิดเทรดที่จุดแนวรับหรือแนวต้าน หลักการเดียวกันเกิด trading transactions ขึ้นก่อน ทำให้เกิดมีเทรดเดอร์ที่ถือ positions เมื่อราคาวิ่งสวนทางไหน ทางนั้นก็จะเป็น trapped traders โดยส่วนมากก็จะเป็นรายย่อยเพราะรายย่อยไม่ได้เทรดแบบขาใหญ่ที่เทรดด้วยจำนวนวอลลูมเยอะ ที่จะปั่นหรือดันราคาไปทางที่พวกเขาต้องการได้

                ทั้ง Pin Bar และ Engugulfing Bar ที่ยกมา เมื่อท่านใช้ต่าง timeframe ประกอบ โดยเฉพาะ timeframe ย่อยลงมาท่านจะเห็นรายละเอียดหมด ถ้าเข้าใจเรื่องออเดอร์ทำงานอย่างไรและเทรดเดอร์อื่นๆ ที่เทรดด้วยท่านก็จะมองออกว่าทำไม จึงเป็นที่นิยมเมื่อราคาไปถึงจุดแนวรับหรือแนวต้าน เพราะมี trapped traders ช่วยดันให้เป็นอันดับแรก

                ข้อ 2. ใช้ multi-charts ช่วยเพื่อดูรายละเอียด demand/supply base หรือแนวรับแนวรับต้าน

                สิ่งหนึ่งที่เจอประจำเมื่อท่านกำหนด support/resistance zone หรือ supply/demand zone จาก timeframe ใหญ่ เช่นเมื่อท่านกำหนดจุดพวกนี้จากชาร์ต D1 เป็นหลัก ก็จะทำให้กรอบราคาสำหรับ supply/demand zone หรือ support/resistance zone ท่านกว้างหรือหลายปีบมากถึงมากเกินไป  วิธีการนี้ท่านสามารถใช้เรื่อง multi-charts ประกอบได้ เพื่อดูว่าจุดที่น่าสนใจจริงๆ หรือเป็นต้นตออยู่ตรงไหน

                หรืออย่าง swap level ที่เกิดขึ้นที่เลข 1 และ 2 ที่เปิดชาร์ต H4 เพื่อดูรายละเอียด แม้ว่าจะเห็นภาพคร่าวๆ แต่ท่านก็ยังไม่เห็นจุดที่ชัดเจนต้องเปิด timeframe ย่อยลงไปอีกเพื่อเห็นจุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ  ก็รู้ว่าเมื่อราคากลับมาควรเปิดตรงไหน เมื่อราคาเบรคตรงไหนว่าราคาจะขึ้นไปต่อ อย่างที่เลข 2 เมื่อท่านเปิดลงไปอีก timeframe คือ H1 ท่านจะเห็นชัดเจนว่าตรงไหนสำคัญมากสุดในพื้นที่ ท่านก็รู้ว่าควรจะเปิดเทรดตรงไหนและ stop loss สัมพันธ์กับตรงนี้ หรือถ้าราคาเบรคตรงนี้ก็จะเปลี่ยนข้อมูลสำคัญ

                สิ่งสำคัญมองหาพื้นที่ได้เพราะมองง่ายเช่น ดูการวิ่งจากแรงๆ หรือ strong move away เป็นเบื้องต้นสำหรับหา demand/supply base ว่าเกิดขึ้นตรงไหนพร้อมดูที่มา หรือถ้าเป็น key level ก็จะมองพื้นที่ๆ เคยเป็นแนวรับหรือแนวต้าน แล้วราคาเบรค กลายมาเป็น swap level หรือ flip level แนะให้ท่านมองพวก key level เป็นกรอบราคาหรือเป็นโซนแบบเดียวกับการมอง demand/supply ให้สนใจเรื่อง cluster of orders ที่อยู่พื้นที่นั้นเป็นหลัก แล้วมอง price structure และ price action ที่เกิดขึ้น ส่วนที่อยู่ตรงต้นตอและส่วนตอนที่ราคากลับมา

                เพราะ price structure และ price action ที่เกิดขึ้นจะบอกว่ามี trading transactins เกิดขึ้นตรงไหน ถ้าราคาวิ่งสวนแล้วจะมี trapped traders เกิดขึ้นตรงไหน และตรงไหนเป็นพื้นที่ที่เทรดเดอร์พวกนี้เดือดร้อน เมื่อหาต้นตอถูกจุดก็จะหาจุดเข้าเทรดได้แม่น และสามารถวาง stop loss และ take profit ได้ถูกจุดตามมาด้วย

ข้อ 3. ใช้ multi-charts ช่วย price structure ที่เกิดขึ้นเพราะมองเห็นภาพรวมราคามากขึ้นกว่า

เพราะการมอง price structure เพื่อดูการเคลื่อนไหวของราคา ไม่ใช่แค่การมองจุด swing highs/lows เท่านั้น เมื่อท่านกำหนดจุดเทรดได้ จำเป็นต้องลงรายละเอียดเพื่อดูทางที่ราคาจะวิ่งเป็นไปอย่างไร สิ่งที่ท่านต้องการเห็นคือ path of least resistance การมองรายละอียดใน timeframe ย่อยลงไปจะทำให้ท่านเห็นหมดในทางที่ท่านต้องการเปิดเทรดไป

                ดูอย่าง USDCHF ตอนที่ราคาวิ่งขึ้นไปหาจุดที่จะเทรดด้านบนดู structure ที่เกิดขึ้น ด้านช้ายเป็นชาร์ต D1 และด้านขวาเป็นชาร์ต M30 เพื่อดูรายละเอียด price structure ที่เกิดขึ้นกับแท่งเทียนของชาร์ต D1 เป็นอย่างไร ในโครงสร้างพวกนี้ไม่มี demand ตัวไหนที่ถือว่าแข็งสักตัวเลย อย่างแรกมองสิ่งที่เป็น impulsive move ตามตัวเลขก่อนจะเห็นว่าไม่ได้มี momentum ที่บอกว่ามีการเทรดเข้าเยอะมาก แค่พอเกิน high ก่อนแล้วราคาก็ consolidation เป็นหลักสะสม positions ไปเรื่อยๆ และราคาย่อตัวมาที่ swap level หรือจุดที่ราคาเบรคขึ้นไปก็ไม่ได้ขึ้นอย่างแรง ราคาสามารถอยู่ในพื้นที่ได้นานหรือมองผ่านบาร์เป็นหลายบาร์ ทำให้รู้ว่าไม่มี buy market orders มากพอ และขณะเดียวกันราคาลงไปพื้นที่พวกนี้ทุกครั้งและอยู่ในพื้นที่นานได้ ทำให้เกิดการใช้หรือซึมซับ buy limit orders หรือ unfilled orders ที่เหลืออยู่ในพื้นที่พวกนี้ไปด้วย  ดังนั้นตัวที่จะหยดุราคาหรือตัวต้านทานไม่ให้ราคาไปต่อได้ง่ายคือ buy limit orders ได้ใช้ไปแล้ว ก็จะทำให้เกิดราคาผ่านได้ง่ายหรือเกิด path of least resistance ได้พื้นที่นี้ถ้าราคาลงมาอีกรอบ นี่เลยทำให้บาร์ D1 2 บาร์ที่ลงอย่างเดียวและบาร์ยาวๆ เกิดขึ้นได้

                ข้อ 4. ใช้ multi-charts ช่วยในการวิคราะห์การเทรดและเข้าเทรด วิธีการนี้น่าจะเห็นใช้กันทั่วไป เพราะการวิเคราะห์หลักการต้องเห็นภาพที่ใหญ่ขึ้นก่อนหรือเรียกว่าเป็น major overview สำหรับคู่เงินที่จะเทรดว่าราคาเปิดเผยอย่างไรตอนที่ trade setup เกิดขึ้น การมองภาพรวมจะเป็นกรอบกันความผิดพลาด และถือว่าเป็นจุดรับการเสี่ยงหรือเปลี่ยนใจขั้นสุดท้ายถ้า price structure เปลี่ยน การใช้การวิเคราะห์หลาย timeframe ประกอบกันจะทำให้ท่านมองออกว่าการเทรดของท่านอยู่ตรงไหนของภาพที่ท่านกำหนดเป็นกรอบการเทรดเช่น อย่างกรณีเทรดด้วยการกำหนด D1 เป็น Major overview แล้วท่านก็กำหนด timeframe สำหรับกำหนด trade setup เช่น H1 ที่สัมพันธ์กับภาพใหญ่ท่านที่ชาร์ต D1 และกำหนด timeframe สำหรับเข้าและออกเช่น M5/M15 เป็นต้น

                D1 สำหรับภาพรวมที่ต้องการหาโอกาสเทรดให้สัมพันธ์ H1 (หรือ M30) สำหรับกำหนด trade setup ก็จะมีการกำหนดเงื่อนไขเข้าไปว่าเทรดอย่างไร สำคัญคือเรื่อง risk:reward ต้องไม่ต่ำกว่า 1:3 หรือมากกว่า ส่วน reward ยิ่งมากยิ่งดี เพราะจะทำให้ความเป็นไปได้ของการเทรดท่านประสบความสำเร็จสูง และ timeframe สำหรับเข้าและออกเทรด อาจกำหนดเป็น M5/M15 เป็นต้น

                ตัวอย่างการเทรดด้านบนเป็นการเทรดแบบใช้การวิเคราะห์หลาย timeframe ประกอบอย่างที่ยกตัวอย่างมาคือ D1 สำหรับ major overview ชาร์ต H1 สำหรับกำหนด trade setup และ timeframe M15 สำหรับเข้าเทรด การเทรดด้านบนเป็นการเทรด swap level ในที่นี้คือจาก support กลายมาเป็น resistance ตรงที่ราคาเบรค เพราะลักษณะการเบรคด้วยบาร์ที่แรงและปิดด้านล่างและบาร์ต่อมาอีกไปทางเดียวกันและเป็น momentum บาร์ได้อย่างชัดเจนทั้ง 2 บาร์ บอกถึงการเข้าเทรดของขาใหญ่เพื่อจะเอาชนะ ดังนั้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าจะเทรดตรงไหน แล้วรอว่าราคากลับมาตอนเมื่อไร แล้วกำหนด trade setup อย่างไร  ถ้าเกิดตรงนี้ risk:reward ถึงด้าน Low ของ D1 ก่อนที่จะขึ้นมามีมากพอที่จะทำกำไรได้ ดังนั้นพอราคามาถึงที่จุดต้องการไม่ใช่ว่าจะเปิดเทรดเลย เพราะเป็นการกำหนด trade setup จาก D1 ต้องรอให้ price structure เปิดเผยประกอบที่จุดตรง trade setup ด้วย จะเห็นว่าก่อนราคาจะถึง D1 resistance เมื่อมองที่ชาร์ต H1 จะเห็นว่าราคาได้สร้าง support หรือ demand ขึ้นมาตรงนี้ด้วย แม้ว่า trade setup เกิดขึ้นได้ แต่ท่านจะพบว่า timing สำหรับการเปิดออเดอร์ยังไม่ได้เพราะยังมี demand หรือ support ตรงนี้อยู่ เพราะราคาอาจไปต่อก็ได้ อย่าลืมว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ จะเห็นว่าที่เลข 1 และ 2 ราคาลงมาแต่ไม่อาจผ่านไปได้ ถ้าท่านเปิดเทรดก่อนท่านอาจได้กำไรบ้างนิดหน่อย แต่ราคาก็เด้งกลับไปอีกและก็ทำ consolidation ก่อนหลายบาร์ก่อนจะลงและ timing ในการเข้าเทรดเมื่อราคาเบรค demand ตรงนี้ หลังที่เลข 3 ตรงที่วงกลมเอาไว้ ที่ชาร์ต H1 และ M15  แล้วท่านก็มาดูที่ M15 ก็ได้เวลาเปิดเทรด ที่เหลือปล่อยเป็นเรื่องของเวลาและความอดทน

                การใช้ Multi-charts หรือหลายชาร์ต มีประโยชน์หลายอย่างๆ ที่อธิบายมา แต่ก็อย่าเปิดหลายชาร์ตมากเกินไป เช่นไม่ควรเกิน 3-4 ชาร์ต และสำคัญต้องรู้ทันและไม่หลงภาพหลักที่ท่านมองในการวิเคราะห์ ว่าจะเทรดแนวไหนและอย่างไร เพราะเมื่อท่านเปิดหลายชาร์ตเกินไป ถ้าไม่เข้าใจภาพรวมและกรอบที่ท่านกำหนดเป็นตัวกำหนดนำ เมื่อท่านมองชาร์ต timeframe เล็กกับใหญ่ก็อาจจะเห็นราคาสวนทางกัน และการมอง price structure ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเทรนของราคาก็จะทำให้ท่านหลงได้                    

ทีมงาน : thaiforexbroker.com