สเปรด (Spread) คืออะไร? ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรด

ในการเทรด Forex เทรดเดอร์ทุกคนควรจะต้องคำนึงถึงต้นทุนการเทรด มันคือค่าใช้จ่ายในการเทรดทุกๆ ครั้งและค่าสเปรด (Spread) มันก็คือหนึ่งในต้นทุนด้วย ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับค่าสเปรดให้มากขึ้น รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรดและแนะนำโบรกเกอร์ที่เด่นเรื่องค่าสเปรดต่ำ


Highlight บทคัดย่อ

  • ค่าสเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ ยิ่งสเปรดแคบเท่าไหร่ ต้นทุนการเทรดก็ยิ่งต่ำลง
  • สเปรดมี 2 ประเภทก็คือค่าสเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread) และค่าสเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread)
    • สเปรดแบบคงที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด แต่มีข้อเสียคือสเปรดกว้างกว่าและอาจมีการรีโควตบ่อย
    • สเปรดแบบลอยตัวจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด ข้อดีคือแคบมากในช่วงตลาดสงบ แต่จะกว้างขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนสูงหรือมีข่าวสำคัญ
  • ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรดมี 3 ปัจจัยหลักๆ คือ
    1. ความผันผวนของตลาด: ผันผวนสูง = สเปรดกว้าง, ผันผวนต่ำ = สเปรดแคบ
    2. สภาพคล่องของคู่เงิน: คู่เงินที่สภาพคล่องสูง = สเปรดแคบ, สภาพคล่องต่ำ = สเปรดกว้าง
    3. โบรกเกอร์ Forex: มีปัจจัยด้านผู้ให้บริการสภาพคล่องและการบวกค่าบริการลงในสเปรดทำให้แต่ละโบรกสเปรดไม่เท่ากัน
  • ตัวอย่างโบรกเกอร์ Forex ชั้นนำที่โดดเด่นเรื่องค่าสเปรดที่ต่ำ เช่น Exness (ทั้ง 3 บัญชี), Tickmill (บัญชี Raw), IC Markets (บัญชี Raw), HFM (บัญชี Pro) เป็นต้น

สเปรด (Spread) คืออะไร?

  • ค่าสเปรดก็คือส่วนต่างระหว่าง “ราคาซื้อ (Bid)” และ “ราคาขาย (Ask)”
    • ราคาซื้อ (Bid) = ราคาที่โบรกเกอร์ “ยินดีซื้อ” จากเราหมายความว่าที่เรากด Sell เราก็จะได้ราคาตามนี้
    • ส่วนราคาขาย (Ask) = ราคาที่โบรกเกอร์ “ยินดีขาย” ให้เรา ถ้าเรากด Buy เราได้ราคานี้
  • ตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ เช่นคู่เงิน EUR/USD มีราคา Bid = 1.1000 ราคา Ask = 1.1002 ค่าสเปรดจึง = 0.0002 หรือ 2 pips
    • ถ้าเรากด Buy เราจะได้ที่ราคา 1.1002 จากนั้นปิดออเดอร์ทันทีระบบจะขายคืนที่ราคา 1.1000 (Bid) เราขาดทุนไปแล้ว 0.0002 หรือ 2 pips นี่แหละค่าสเปรด
  • มันจึงถูกนับให้เป็นหนึ่งในต้นทุนการเทรด Forex ด้วย เท่ากับว่ายิ่งค่าสเปรดแคบ (Bid/Ask ไม่ห่างกันมาก) ต้นทุนเทรดก็ยิ่งต่ำ โบรกเกอร์ Forex ที่เสนอค่าสเปรดแคบจึงเป็นที่สนใจของเทรดเดอร์ไงล่ะ…
ภาพอธิบายราคา Bid ราคา Ask และค่าสเปรด
ถ้าเรา Sell เราต้องรอให้ เส้นราคา Ask ลดลง มาถึงจุดที่เราเปิด Sell หรือ ต่ำกว่า → ถึงจะ “หลุดสเปรด” และเริ่ม เข้าเขตมีกำไร แต่ถ้าเราเปิด Sell แล้วปิดเลยก็จะขาดทุนตามระยะห่างของ Spread ซึ่งนับเป็นต้นทุนการเทรดนั่นเอง

Spread มีกี่ประเภท?

มารู้จักค่าสเปรดกันต่อทีนี้เราจะแบ่งค่าสเปรดเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือค่าสเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread) และค่าสเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread)

ค่าสเปรดแบบคงที่ (Fixed Spread)

  • ก็คือค่าสเปรดที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด จะผันผวน จะนิ่ง สเปรดก็ยังเท่าเดิม ส่วนใหญ่มักจะเจอในโบรกเกอร์แบบ Dealing Desk มากกว่า
  • ข้อดีก็คือมันคำนวณต้นทุนเทรดง่ายแถมช่วงที่ตลาดผันผวนหนักสเปรดไม่กว้างกว่าเดิมด้วย = ต้นทุนการเทรดเท่าเดิมตลอด
  • แต่ข้อเสียก็คือสเปรดมักจะกว้างกว่าแบบลอยตัวแน่นอน แต่ก็เข้าใจได้เพราะต้องเฉลี่ยกันไป แถมบางครั้งโบรกเกอร์แบบ Dealing Desk ชอบ requote บ่อยๆ ตอนราคาขยับเร็ว

ค่าสเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread)

  • อันนี้จะตรงข้ามกับแบบคงที่คือค่าสเปรดจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาพของตลาด เช่น ช่วงปกติสเปรดอยู่ที่ 0.2-0.5 pips → อาจพุ่งเป็น 3–5 pips ช่วงข่าว มักจะอยู่ในโบรกเกอร์ Non Dealing Desk
  • ข้อดีก็คือช่วงที่ตลาดสงบสเปรดจะแคบกว่าเยอะทำให้ต้นทุนเทรดต่ำ ส่วนเรื่องรีโควตก็เกิดน้อยกว่า
  • แต่ข้อเสียคือช่วงข่าวสำคัญออกมาสเปรดอาจจะกว้างแบบโหดๆ ต้นทุนเทรดพุ่งกระจาย สาย Scalping ถ้าโดนเข้าอาจจะไม่คุ้มเลย
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่าง Fixed Spread และ Floating Spread
ความแตกต่างระหว่าง Fixed Spread กับ Floating Spread หลักๆ คือเรื่องของการคำนวณต้นทุนที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ของตลาด แต่ Fixed จะได้เปรียบตรงที่คำนวณง่ายกว่าแต่ในบางช่วงของตลาดก็แพงกว่าแบบ Floating

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรดมีอะไรบ้าง?

เรามาดูกันบ้างว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งต่อค่าสเปรด โดยเฉพาะค่าสเปรดแบบลอยตัว (Floating Spread) ว่าทำไมบางช่วงมันแคบบางช่วงถึงกว้าง

ความผันผวนของตลาด (Volatility)

  • ราคา Bid และ Ask จะถูกกำหนดจากแรงซื้อและแรงขายในตลาด ณ ขณะนั้น โดยผู้ให้บริการสภาพคล่องจะเสนอราคาให้โบรกเกอร์ประเภท ECN/STP ที่ส่งคำสั่งตรงเข้าตลาด
  • เมื่อตลาดผันผวนสูง เช่น ข่าว Non-Farm เทรดเดอร์จำนวนมากก็จะออกออเดอร์ Buy หรือ Sell ฝั่งใดฝั่งหนึ่งพร้อมกันมากๆ และมันทำให้การจับคู่ออเดอร์ยากขึ้น ผู้ให้บริการสภาพคล่อง(LPs) จึงขยายระยะห่าง Bid/Ask เพื่อป้องกันความเสี่ยง = สเปรดเลยกว้างขึ้น
  • ส่วนช่วงตลาดสงบก็เป็นเพราะคำสั่งมันถูกจับคู่ง่ายกว่า ผู้ให้บริการสภาพคล่องจึงสามารถตั้ง Bid/Ask ใกล้กันได้ = สเปรดแคบลง
ปัจจัยความผันผวนของตลาดที่ส่งผลต่อค่าสเปรด
จากตัวอย่างการเทรดทองคำในช่วงข่าวสำคัญประกาศ จะเห็นว่าเดิมทีสเปรดของทองคำจะอยู่ราวๆ 18-19 แต่บางช่วงสเปรดก็จะขยายไปถึง 27-28 อาจจะดูเป็นตัวเลขไม่เยอะมาก แต่อยากให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของค่าสเปรดที่เกิดขึ้นจริง

สภาพคล่องของคู่เงิน

  • ถ้าสภาพคล่องสูง = มีผู้ซื้อ–ผู้ขายจำนวนมากทั้ง 2 ฝั่ง ออเดอร์จับคู่ได้ง่าย ราคา Bid/Ask ไม่จำเป็นต้องตั้งห่างเพื่อป้องกันความเสี่ยงอะไร สเปรดเลยแคบ ส่วนใหญ่คือสกุลเงินที่นิยมเทรด
  • แต่ถ้าคู่เงินที่สภาพคล่องต่ำเช่น USD/TRY, USD/ZAR = คนเทรดน้อย การจับคู่ออเดอร์จึงยากกว่า ผู้ให้บริการสภาพคล่องหรือโบรกเกอร์จึงจำเป็นต้องขยาย Bid/Ask เพื่อรองรับความเสี่ยง สเปรดเลยกว้าง
ปัจจัยสภาพคล่องที่ส่งผลต่อค่าสเปรดของคู่เงิน
ความแตกต่างของค่าสเปรดระหว่างคู่เงินหลักและคู่เงินแปลกใหม่ โดยคู่เงินแปลกใหม่มีสเปรดกว้างกว่าอย่างชัดเจนหลายเท่าตัว เหตุผลก็เพราะสภาพคล่องที่ต่ำ มีคนเทรดคู่สกุลเงินนั้นน้อย โบรกเกอร์/ผู้ให้บริการสภาพจึงต้องป้องกันความเสี่ยงโดยการขยายสเปรด

โบรกเกอร์ Forex

  • เรากำลังพูดถึงโบรกเกอร์ NDD สังเกตไหมว่าค่าสเปรดแต่ละโบรกนั้นไม่ได้เท่ากัน แม้จะเป็นโบรกประเภทเดียวกันหรือใบอนุญาตเหมือนกันก็ตาม
  • สาเหตุที่สเปรด NDD แต่ละโบรกไม่เท่ากัน ก็เพราะ
    • โบรกที่มี Liquidity Providers (LP) เยอะและเชื่อมกับสถาบันการเงินใหญ่ จะได้ราคาดีกว่า
    • โบรกแบบ NDD แม้รับราคาตลาดจริง แต่โบรกก็จะ + ค่าบริการลงไปในสเปรด ซึ่งแต่ละที่ก็ไม่เท่ากัน
    • เรื่อง Execution Speed ก็เกี่ยวเพราะโบรกที่ส่งคำสั่งเร็วและเสถียรจะจับราคาที่ดีที่สุดได้ก่อน

ตัวอย่างโบรกเกอร์ Forex ที่เด่นเรื่อง Spread ต่ำ

โบรกเกอร์ บัญชี ตัวอย่างสเปรด เหมาะกับเทรด…
Exness Pro, Raw, Zero EURUSD ~ 5.9-7 pips

GBPUSD ~ 7.3-7.4 pips

USDJPY ~ 4.6 – 7 pips

Gold ~ 10.7-15.1 pips

Pro เหมาะกับเทรด Forex
Raw เหมาะกับทองคำ
Tickmill RAW EURUSD: 7.0 pips

GBPUSD: 8.0 pips

USDJPY: 6.7 pips

XAUUSD: 14 pips

เหมาะกับเทรด USDJPY
IC Market RAW EURUSD: 7.0 pips

GBPUSD: 8.1 pips

USDJPY: 8.0 pips

XAUUSD: 13.1 pips

เหมาะกับเทรด EURUSD
HFM Pro EURUSD: 6.02 pips

GBPUSD: 6.05 pips

USDJPY: 8.28 pips

XAUUSD: 16.48 pips

เหมาะกับเทรด EURUSD / GBPUSD

จากตัวอย่างโบรกเกอร์ชั้นนำจะเห็นว่ามีความแตกต่างและจุดเด่นในเรื่องค่าสเปรดของแต่ละสินทรัพย์ บางโบรกเกอร์คู่เงินนี้ค่าสเปรดถูกสุด บางโบรกเกอร์ค่าสเปรดทองคำถูกสุด ดังนั้นเราต้องชั่งน้ำหนักเรื่องค่าสเปรดกับสินทรัพย์ที่เราจะเลือกเทรดด้วย


วิดีโอเกี่ยวกับค่าสเปรด (Spread)

 

เรื่องค่าสเปรดมันไม่ใช่แต่เรื่องของการคำนวณต้นทุนเพียงอย่างเดียวแต่มันมีผลต่อรายละเอียดการเทรดด้วย วิดีโอนี้จะพูดถึงความสำคัญของสเปรดในการเทรดและวิธีปรับ Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL) ให้เหมาะสม

  • Focus นาทีที่ 01:09 ทำความเข้าใจ Bid / Ask
  • Focus นาทีที่ 01:36 การคำนวณสเปรด
  • Focus นาทีที่ 02:08 การปรับ Entry Price, Stop Loss และ Take Profit
  • Focus นาทีที่ 03:06 ความสำคัญของ Buffer Zone หรือการเผื่อระยะหากสเปรดขยายตัว
  • Focus นาทีที่ 03:44 คำแนะนำสำหรับ Indices และ Forex

สรุป

ค่าสเปรดนับเป็นต้นทุนการเทรดอย่างหนึ่งที่เทรดเดอร์ต้องรู้จักหลักการคำนวณของมันให้ได้รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรดตามที่บทความได้นำเสนอไป เพื่อที่เราจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากำไรหรือขาดทุนจากการเทรดของเรานั้นมีปัจจัยมาจากค่าสเปรดมากน้อยแค่ไหน

สุดท้ายก็หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะเข้าใจค่าสเปรดมากขึ้น รู้จักเลือกโบรกเกอร์ Forex โดยมีปัจจัยการเลือกจากค่าสเปรดมากขึ้น หวังว่ามันจะทำให้การเทรดของทุกท่านทำกำไรมากขึ้นด้วยครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ