เทรด Pullback และ Throwback ยังไงให้เพิ่มโอกาสทำกำไรใน Forex?

เกิดมาเป็นเทรดเดอร์ Forex นอกจากการวิเคราะห์ทิศทางของกราฟราคาแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการวิเคราะห์ “จังหวะเข้าออเดอร์” และจังหวะในการเข้าออเดอร์ในตลาด Forex มันก็คือที่มาของกลยุทธ์เทรดต่างๆ มากมาย ในวันนี้เราจะพูดถึงการเทรด Pullback และ Throwback เพราะทั้ง 2 นี้จัดว่าเป็นจังหวะทองของการเทรดเลยล่ะครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • Pullback เกิดหลังจากราคา Breakout ทะลุแนวรับลงไปแล้วดีดตัวกลับขึ้นมาทดสอบแนวรับเดิม ส่วน Throwback คือการที่ราคา Breakout จากแนวต้านขึ้นไปแล้วย้อนกลับมาทดสอบแนวต้านเดิม
  • เหตุผลที่ราคามันจะ Pullback / Throwback ก่อนจะไปต่อ มี 3 เหตุผลใหญ่ๆ คือ
    1. การปิดกำไรของเทรดเดอร์
    2. Stop Hunt & Liquidity
    3. จิตวิทยาตลาด
  • กลยุทธ์ในการเข้าเทรด Pullback / Throwback เทรดเดอร์สามารถเลือกได้ว่าจะเทรดแบบ Conservative ที่เน้นปลอดภัย ดักด้วย Pending Order หรือ Aggressive เน้นเข้าเทรดบริเวณที่ราคาย่อหรือเด้ง โดยหาสัญญาณเข้าเทรดบริเวณนั้น
  • ข้อดีของการเทรด Pullback / Throwback คือโอกาสในการเทรดมีบ่อยมากและถ้าเทรดแบบ Conservative อัตราชนะค่อนข้างเยอะทำให้คุ้มค่าในระยะยาว ส่วนสิ่งที่ควรระวังคือการตกใจจนรีบไล่ตามราคา อาจจะทำให้เราได้ราคาที่ไม่ดีในการเข้าออเดอร์

ทำความเข้าใจ Pullback และ Throwback เชิงลึก

  • ต้องบอกแบบกว้างๆ ก่อนว่า Pullback และ Throwback คือรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นบ่อยมากๆ ในตลาด Forex มันคือการที่กราฟราคาย้อนกลับไปที่แนวรับ/แนวต้านเดิมที่มันเพิ่งทะลุออกมา
  • โดย Pullback เกิดหลังจากราคา Breakout ทะลุแนวรับลงไป จากนั้นราคาก็ดีดตัวกลับขึ้นมาที่ระดับแนวรับนั้น (ซึ่งได้กลายเป็นแนวต้านแล้ว) แต่มันจะสมบูรณ์ 100% ก็ต่อเมื่อ ราคาก็เด้งกลับลงมาจากแนวระดับนั้นอีกครั้ง เพราะถ้ามันไม่เด้งกลับและย้อนทะลุแนวต้าน(ใหม่) ขึ้น มันก็กลายเป็น False Breakout นั่นเอง
  • ส่วน Throwback มีนิยามและหลักการคล้ายกับ Pullback เลยเพียงแค่มันกระทำย้อนกลับ โดยมันคือการ Breakout จากแนวต้านและกลับมาทดสอบแนวนี้อีกครั้ง (แนวรับใหม่) เหมือนกัน
ความแตกต่าง Pullback Throwback
ความแตกต่างหลักๆ ของ Pullback / Throwback อยู่ที่ทิศทางในการกระทำ โดย Pullback เกิดขึ้นเมื่อราคา Breakout “ลงไป” ส่วน Throwback เกิดเมื่อราคา Breakout “ขึ้นไป”

ทำไมราคาต้อง “ย่อ” หรือ “เด้งกลับ” ก่อนจะไปต่อ?

เหตุการณ์นี้มันมีเหตุผลรองรับมากกว่าเป็นความบังเอิญทั่วไป เหตุผลที่ว่านั้นก็คือ…

  1. แรง Take Profit (ปิดกำไร): เป็นไปได้ว่าจังหวะที่ราคา Breakout แนวรับ/แนวต้านมา จะมีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่ตั้งออเดอร์ดักไว้และเมื่อราคาทะลุได้สักพักก็ปิดกำไรออเดอร์นั้นไป ส่งผลให้ราคาดีดกลับตัวได้
  2. Stop Hunt & Liquidity: จากที่เคยเขียนไปเกี่ยวกับ Liquidity ที่รายใหญ่ชอบ รายใหญ่สามารถสร้าง Pullback / Throwback ด้วยตัวเอง เพื่อให้ราคากลับมาในจุดที่พวกเขาต้องการเติม Order หรือล้าง Order ฝั่งตรงข้ามก่อนจะดันราคาไปต่อ
  3. จิตวิทยาตลาด: เนื่องจากระดับแนวรับ/แนวต้านนี้มีแรงซื้อ/ขายจำนวนมากรออยู่ เทรดเดอร์หลายๆ คนจึงไม่มั่นใจว่าการ Breakout จริงหรือหลอก เลยเกิดการปิดออเดอร์จากที่เคยถืออยู่และก็มีอีกไม่น้อยมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าออเดอร์เพิ่ม ซึ่งแรงที่เข้ามาใหม่นี้เองที่ผลักดันให้ราคากลับไปในทิศทางเดิม
 เหตุผลที่เกิด Pullback Throwback
Market Sentiment หรือ “ความรู้สึกของตลาด”หนึ่งในจิตวิทยาตลาดเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการเกิด Pullback และ Throwback อย่างมาก ซึ่งเบื้องหลังอาจจะมาจากรายใหญ่ที่ดึงผู้เล่นรายย่อยมาร่วมในสถานการณ์นี้

กลยุทธ์เทรด Pullback / Throwback

ในการจะเทรดเมื่อเราเจอ Pullback / Throwback มันมีแนวทางการเทรด 2 แบบใหญ่ๆ ซึ่งจำแนกตามสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคลดังนี้ครับ

การเข้าเทรด Throwback แบบ Conservative

การเทรด Throwback แบบ Conservative
ภาพตัวอย่างการเกิด Throwback ซึ่งในภาพมีการเกิด False Breakout ก่อนจะเกิด Breakout จริงและกลายเป็น Throwback มาทดสอบแนวรับใหม่อีกครั้งจากนั้นจึงเข้าเทรดในระดับ High สูงสุดที่ราคาทะลุขึ้นมา
  • เคสนี้เราจะวิเคราะห์การเข้าเทรด Throwback กันครับ ก่อนอื่น เราต้องสังเกตและระบุแนวรับ/แนวต้านที่ราคาจะ Breakout ให้ได้
  • ดูตามเส้นตรงแนวนอนจะเห็นว่าแนวนี้เคยถูก Breakout แล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็น False Breakout ราคากลับมาอยู่ใต้แนวต้านเหมือนเดิม จนกระทั่งมัน Breakout อีกรอบ!!!
  • คราวนี้ราคายืนระดับเหนือเส้นแนวต้านได้ พร้อม Throwback กลับมาทดสอบเส้นนี้(กลายเป็นแนวรับ) อีกครั้ง ซึ่งดูตาม Volume เพิ่มขึ้นตอน Breakout และลดลงตอน Throwback และกลับมาเพิ่มอีกครั้งเมื่อราคาวิ่งขึ้นไปต่อ
  • ถ้าเราเน้นเทรดแบบปลอดภัย (Conservative) ผมจะแนะนำให้ใช้ Pending Order: Buy Stop ดักไว้บริเวณเหนือ High ที่ราคาทะลุ Breakout มา
  • ส่วนการตั้ง SL ก็ตั้งใต้เส้นแนวรับแต่เผื่อระยะไว้สัก 100 pips ก็ได้ครับเผื่อเจอ Stop Hunt หรือจะตั้ง Trailing Stop ไว้ก็ได้ครับจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะตั้ง TP จุดไหน

การเทรด Pullback แบบ Aggressive

การเทรด Pullback บนกราฟจริง
ภาพนี้คือเคสการเทรด Pullback โดยเน้นเทรดแบบ Aggressive เมื่อราคา Breakout ทะลุลงมาและ Pullback ขึ้นไปทดสอบแนวต้านอีกครั้ง ให้หาสัญญาณการเข้าเทรดที่บ่งบอกถึงมีแรงกลับตัว ทั้ง Volume ที่เพิ่มขึ้น+สัญญาณแท่งเทียน
  • ส่วนเคสนี้เป็นการเทรดแบบ Pullback โดยจะเน้น Setup Trade แบบ Aggressive หรือแบบเร็วและอาศัยความแม่นยำ
  • เมื่อราคา Breakout แนวรับลงมาจนเกิด Pullback เราจะไม่รอให้ราคากลับลงมาอีกครั้งเพื่อยืนยันแต่จะหาสัญญาณบริเวณแนวต้านใหม่(แนวรับเก่าทะลุมา) ว่ามีแนวโน้มทุบลงหรือไม่
  • สัญญาณหนึ่งที่น่าสนใจคือ Volume เทรดเพิ่มขึ้น + สัญญาณแท่งเทียนที่บ่งบอกว่าจะกลับตัวลง เช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing ใครจะรอดูอินดี้เสริมด้วยก็ได้นะครับแต่อาจจะใช้เวลานานกว่าเพราะกว่าจะมีสัญญาณราคาก็เริ่มไปแล้ว
  • เทรดแบบ Aggressive จึงขอแค่เจอสัญญาณกลับตัวก็เพียงพอแล้วและเข้าเทรดเลย จะได้ราคาดีกว่าแต่ก็อยู่ในช่วงที่ตลาดออกได้ทุกหน้า อาจจะกลับตัวขึ้นไปก็ได้ ตรงนี้ต้องระวัง
  • ส่วนการตั้ง SL ก็ตั้งเผื่อเหนือเส้นแนวต้านเหมือนกับตัวอย่างแรกเลยครับ ส่วน TP จะเซ็ต Trailing Stop หรือตั้งไว้ที่แนวรับถัดไปก็ได้ครับ

ข้อดีและข้อควรระวังสำหรับมือใหม่

การเทรดแบบ PullBack / Throwback เพราะว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในการเทรด ดังนั้นจึงมีข้อควรระวังเอาไว้สำหรับเทรดเดอร์ทุกท่านรวมถึงข้อดีที่ทุกท่านควรเก็บเกี่ยวเอาไว้

ข้อดี

  1. โอกาสเข้าเทรดที่มีอยู่ตลอด: เหตุการณ์ Pullback / Throwback เกิดขึ้นบ่อยมากๆ ดังนั้นมันคือโอกาสในการเข้าเทรดทุกๆ ครั้ง ที่เราสามารถจับจังหวะของมันได้
  2. Risk / Reward คุ้ม: กลยุทธ์นี้สังเกตว่าระยะ SL จะสั้นและชัดเจน (ใต้หรือเหนือเส้นแนวรับ/แนวต้าน) ถ้าราคามาโดน SL ก็ยังไม่เสียมากแต่ถ้าถูกทาง กำไรถือว่าคุ้มกับความเสี่ยงมากๆ
  3. Winrate สูงถ้าเน้นปลอดภัย: การเน้นดักรอด้วย Pending Order ตามตัวอย่างที่ให้ไป เป็นแนวทางการเทรดที่ Winrate ค่อนข้างสูง เพราะราคายืนยันการกลับตัวอย่างแท้จริงแล้ว

ข้อควรระวัง!

  1. อย่าตื่นตระหนก!: หากเราเห็นว่าราคา Breakout จึงรีบเปิดออเดอร์ตามและราคาเกิด Pullback / Throwback อย่าเพิ่งตกใจและรีบปิดออเดอร์จนขาดทุน ให้ตั้ง SL ในโซนก่อนที่ราคาจะ Breakout ออกมา ถ้ามัน Breakout จริง แน่นอนว่ามันจะกลับมาทางเดิม แต่ถ้าไม่เราก็ตั้ง SL ในจุดที่เหมาะสมแล้ว
  2. อย่าไล่ราคาหลัง Breakout: การ Breakout มักจะมี Volume สูงตามมาทำให้ราคาเคลื่อนที่รุนแรง เทรดเดอร์ที่ใจไม่นิ่งอาจจะคิดว่าถ้าไม่เข้าตอนนี้อาจจะตกรถไปเลย อย่าหาทำครับ! รอจังหวะ Pullback / Throwback ก่อนดีกว่าหรือถ้าไม่เกิดขึ้นก็อย่าเสียดาย ตกรถดีกว่าติดดอยแน่นอน
ข้อดีข้อควรระวัง Pullback Throwback
การเทรดแบบ Pullback / Throwback จริงอยู่ว่ามีโอกาสเข้าเทรดได้บ่อยๆ อีกทั้งเมื่อเราจับจังหวะของกราฟเป็นแล้ว จะทำได้ง่ายขึ้น การเทรดก็คุ้มค่ามากขึ้น แต่มือใหม่ต้องระวังอย่าตื่นตระหนกเมื่อเจอ Pullback / Throwback รวมถึงอย่าเข้าเทรดไล่ราคา

วิดีโอเกี่ยวกับ Pullback

 

ถ้าเทียบระหว่างคำศัพท์ Pullback / Throwback เรามักจะได้ยินคำว่า Pullback บ่อยกว่าและหลายคนก็คิดว่ามันเรียกเหมือนกันคือ Pullback เช่นเดียวกับวิดีโอที่ทีมงานเราจะมาแนะนำในวันนี้ เกี่ยวกับกลยุทธ์เทรด Pullback ซึ่งอันที่จริงมันอาจจะผสม Throwback เข้าไปด้วยก็ได้ เรามาดูกันครับ

  • Focus นาทีที่ 1:00 พื้นฐานของ Pullback
  • Focus นาทีที่ 3:11 แท่งเทียนที่ใช้ระบุ Pullback
  • Focus นาทีที่ 8:38 Pullback แบบ Various
  • Focus นาทีที่ 8:53 Pullback แบบ Aggressive
  • Focus นาทีที่ 11:02 Corrective Pullback
  • Focus นาทีที่ 12:48 Pullback แบบ Sweeping

สรุป

แม้จะมองว่า Pullback / Throwback แตกต่างกันแค่ชื่อและทิศทาง แต่หลักการวิเคราะห์ เหตุผลเบื้องหลัง การเข้าเทรดก็จะเหมือนกัน จึงอยากให้เทรดเดอร์โฟกัสกับการบริหารความเสี่ยงทุกครั้งในการเข้าเทรดไม่ว่าจะเป็น Pullback หรือ Throwback ก็ตามรวมถึงวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น Volume การซื้อ/ขาย การอ่านสัญญาณจากแท่งเทียน เป็นต้น

สุดท้ายนี้หวังว่าเทรดเดอร์ทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้เพื่อเอาไปต่อยอดในการเทรดในตลาด Forex และอยู่รอดทำกำไรได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเจอกับกราฟรูปแบบใดก็ตาม

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ