ถ้าใครเคยทดลองเปิด-ปิดออเดอร์แบบทันทีจะรู้ว่าเราขาดทุนไปแล้วหรือบางคนเทรดไปสักพักรู้สึกว่าทำไมกำไรที่ได้มันดูไม่เยอะเท่าที่ควร ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่รู้จัก “ต้นทุนการเทรด” ที่แฝงอยู่ในทุกออเดอร์และบทความนี้จะพาคุณไปดูต้นทุนการเทรดทุกรูปแบบ พร้อมเปรียบเทียบบัญชีแต่ละประเภทแบบเข้าใจง่ายๆ ครับ
Highlight บทคัดย่อ
- ต้นทุนแฝงในการเทรด Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ 1) ค่าสเปรด (Spread) = ส่วนต่าง Bid/Ask ที่จ่ายทันทีหลังเปิดออเดอร์ มีทั้งแบบคงที่และลอยตัว สเปรดมักจะแคบถ้าตลาดเงียบและจะกว้างเมื่อตลาดผันผวน
- 2) ค่า Commission = ค่าธรรมเนียมการเทรดเก็บแยกจากค่าสเปรด มักจะเป็นค่าใช้จ่ายแบบคงที่ตามจำนวนการเทรดที่โบรกเกอร์กำหนด
- 3) ค่า Swap = ดอกเบี้ยที่ได้หรือเสียจากการถือออร์เดอร์ข้ามคืน มีทั้ง Swap Long (สำหรับฝั่ง Buy) และ Swap Short (สำหรับฝั่ง Sell) ขึ้นอยู่กับว่าค่า Swap ของคู่เงินฝั่งไหนเป็น + หรือ –
- 4) ค่าธรรมเนียมอื่นๆ = มักจะอยู่นอกเหนือการเทรดแต่มีผลต่อกำไร เช่น ค่าธรรมเนียมฝาก/ถอน หรือ ค่าธรรมเนียมจากการที่ไม่เคลื่อนไหวบัญชีเทรด เป็นเวลานานๆ
เทรด Forex ต้องเสียค่าอะไรบ้าง?
การเทรด Forex 1 ออเดอร์ใช่ว่าจะเปิดแล้วปิดคำนวณตาม Lot หรือตามจุดที่ราคาเคลื่อนที่ไปแล้วจะได้กำไร/ขาดทุนแบบเป๊ะๆ แต่มันยังมีค่าใช้จ่ายในการเทรดแต่ละครั้งด้วยครับ และนี่ก็คือค่าใช้จ่ายเหล่านั้น
1. ค่าสเปรด (Spread)
- Spread คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid (ขาย) และ Ask (ซื้อ) ที่ต้องจ่ายทันทีเมื่อเปิดออร์เดอร์ เช่น ถ้าคู่เงิน EUR/USD มีราคา Bid = 1.1000 และ Ask = 1.1002 ก็แปลว่าคุณต้องจ่ายค่าสเปรด 2 pips โดยอัตโนมัติ
- ค่า Spread แบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือค่าสเปรดคงที่และแบบลอยตัว ส่วนมากโบรกเกอร์จะคิดแบบลอยตัวคือเปลี่ยนตามสภาวะตลาด (ผันผวนน้อย-แคบ, ผันผวนเยอะ-กว้าง)
- ค่า Spread นับว่าเป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์ Forex โดยเฉพาะ ค่าสเปรด ที่กว้าง = ส่วนต่าง Bid/Ask เยอะ ยิ่งทำให้ต้นทุนเทรดสูงขึ้นไปอีก สเปรดสูงมักจะเจอในคู่เงินรองหรือคู่เงินแปลกใหม่ ส่วนคู่เงินหลักที่นิยมกันสเปรดจะแคบกว่า

2. Commission
- ค่าคอมมิชชัน (Commission) คือค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บแยกต่างหากจากค่าสเปรดครับ ส่วนใหญ่จะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นในบัญชีที่ค่าสเปรดต่ำมากหรือ = 0
- มันก็คือรายได้ของโบรกเกอร์อีกทางหนึ่งนั่นแหละ เพียงแค่เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ชอบต้นทุนที่คงที่กว่าค่าสเปรด โดยค่า Commission มักคิดเป็น X$ ต่อการเปิด-ปิด 1 ล็อตมาตรฐาน เช่น
- $7/Lot = เมื่อเทรดครบ 1 Lot โบรกเกอร์จะเรียกเก็บ 7$ แต่แลกกับไม่มีสเปรดระหว่างเทรดเลย
- แม้ว่าค่าคอมฯ จะแยกจากค่าสเปรดชัดเจน แต่เทรดเดอร์ควรเปรียบเทียบทั้งสเปรดและคอมมิชชันร่วมกัน ไม่ใช่ดูแค่ค่าตัวใดตัวหนึ่งเพราะสุดท้ายแล้วมันคือ “ต้นทุนรวม” ที่กระทบต่อกำไรจริง

3. ค่า Swap
- ค่า Swap คือดอกเบี้ยที่ได้หรืออาจจะเสีย หากเราถือออร์เดอร์ค้างข้ามคืน ซึ่งการจะได้หรือเสียก็ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของคู่เงินนั้นเป็น + หรือ –
- ค่า Swap หากเราเปิดดูในรายละเอียดจะพบว่ามี 2 แบบ คือ Swap Long = ดอกเบี้ยที่จะได้รับหากเปิดสถานะ Long/Buy ข้ามคืน และอีกอันคือ Swap Short = ดอกเบี้ยที่จะได้รับหากเปิดสถานะ Short/Sell ข้ามคืน
- เช่น คู่เงิน AUDJPY มีค่า Swap Long เป็น + แต่ Swap Short เป็น – การที่เราเปิดสถานะ Long ข้ามคืนเราจะได้รับดอกเบี้ยจากคู่เงินนี้
- ค่า Swap จะถูกคิดอัตโนมัติในเวลาเที่ยงคืนตามเวลาของเซิร์ฟเวอร์โบรกเกอร์ ส่วนใหญ่จะคิด 3 เท่าในวันพุธ เพื่อชดเชยในช่วงเสาร์–อาทิตย์ ที่ตลาดปิด
- Swap มันจึงเป็นเหมือนทั้งรายได้-รายจ่ายในตัวเดียวกัน ถ้าเราเปิดสถานะทางเดียวกับ Swap ที่เป็นบวกก็จะเป็น Passive Income ได้เลย คนที่เทรดแบบ Carry Trade จึงมักนิยมใช้สูตรนี้

4. ค่าธรรมเนียมอื่นๆ
- นอกจากค่าใช้จ่ายหลักอย่าง Spread, คอมมิชชัน และ Swap แล้ว บางโบรกเกอร์จะมีค่าธรรมเนียมที่นอกเหนือจากการเทรด แต่กระทบต่อผลกำไรของเราด้วย
- ค่าธรรมเนียมฝากเงิน/ถอนเงิน: บางโบรกเกอร์เก็บค่าธรรมเนียมการถอนเป็น % หรือจำนวนคงที่ เช่น $3–$5 ต่อครั้ง
- ค่าธรรมเนียมกรณีไม่มีการเคลื่อนไหว (Inactivity Fee): ถ้าเราไม่ได้เทรดเกินช่วงเวลาหนึ่งที่โบรกกำหนด เช่น 3 เดือน โบรกอาจหักค่าธรรมเนียมจากยอดเงินในบัญชีเราด้วย

ตัวอย่างต้นทุนการเทรดของบัญชีต่างๆ
ทีนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นกันว่าบัญชีหลักของโบรกเกอร์ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเป็น IC Markets มันมีต้นทุนแตกต่างกันยังไงบ้าง? และแต่ละบัญชีมีคุณสมบัติเด่นอะไร?

บัญชี Raw Spread/ECN
- บัญชี ECN/ Raw Spread คือบัญชีที่ให้ราคาซื้อ–ขายจากตลาดจริงแบบเรียลไทม์ นี้จุดเด่นคือค่าสเปรดที่แคบมาก ใกล้เคียง 0 pips
- ต้นทุนหลักของบัญชีประเภทนี้คือค่าคอมมิชชันที่โบรกเกอร์เก็บแยกต่างหากจากสเปรด เช่นในรูปตัวอย่างจาก IC Market อยู่ที่ 7$ ต่อ 1 Lot ต่อรอบ
- ส่วนค่า Swap ส่วนมากโบรกไม่เอามาเทียบในแต่ละบัญชีหรอกครับเพราะมันเหมือนกัน มีแค่ให้เลือกว่าจะเอาสวอปหรือไม่เอาแค่นั้นเอง
บัญชี Standard
- บัญชี Standard คือบัญชีเทรดทั่วไป เทรดเดอร์มือใหม่มักจะเลือกใช้บัญชีนี้เพราะความเรียบง่ายของต้นทุน จุดเด่นคือไม่มีค่าคอมมิชชั่น
- ต้นทุนหลักของบัญชี Standard คือค่าสเปรดที่กว้างกว่าบัญชี Raw Spread/ECN และ ค่า Swap หากถือออร์เดอร์ข้ามคืน (แต่สามารถขอฟรีสวอปได้)
บัญชีแต่ละประเภทเหมาะกับใคร?
- ถ้าเรารู้ตัวว่าเป็นสาย Scalping เทรดสั้น เทรดชนข่าว เข้า-ออกบ่อย บัญชีที่ควรใช้ก็คือพวก ECN/ Raw Spread เพราะพวกนี้ค่าสเปรดจะต่ำมาก เราจะได้คิดค่าต้นทุนทีเดียวคือค่า Commission ส่วน Swap ไม่มีอยู่แล้วเพราะไม่ถือข้ามคืน
- แต่ถ้าเราเป็นสายเทรดแบบปกติ เน้นไปที่ระยะกลาง-ยาว เทรดถือข้ามคืนอาจจะไม่เกินสัปดาห์หนึ่ง ก็เลือกบัญชี Standard ดีกว่า เพราะรวมค่าธรรมเนียมไว้ในสเปรดแล้วไม่ต้องคำนวณ Commission แยก
- ถ้าใครเทรดเน้นถือยาวอันนี้ค่อนข้างจะเลือกได้หลากหลายกว่า (บัญชีไหนก็ได้) แต่ไปเน้นคิดหนักตรงค่า Swap ดีกว่าว่าจะเอาหรือไม่ ถ้าไม่เอาก็ฟรีสวอป คิดแค่ต้นทุนปกติ (Spread+Com) แต่ถ้าเอา Swap ด้วยก็อาจจะได้รายได้เพิ่มหรือรายจ่ายเพิ่มต้องดูออเดอร์ของเรา

วิดีโอเกี่ยวกับต้นทุนการเทรด Forex
วิดีโอตัวนี้จะพูดถึงหนึ่งในต้นทุนการเทรดก็คือค่า Swap ซึ่งในวิดีโอจะมาดูว่า ต้นทุนในการถือครองสถานะ Forex เท่าไหร่? แล้วมีสกุลเงินตัวไหนน่าสนใจที่จะถือครองบ้าง?
- Focus นาทีที่ 00:05 ค่าใช้จ่ายในการถือครองสถานะ Forex
- Focus นาทีที่ 05:13 อธิบายถึง “Swap Cost“
- Focus นาทีที่ 07:06 สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก
- Focus นาทีที่ 09:51 คู่สกุลเงินหลักในตลาด Forex
สรุป
การเทรด Forex แบบฉลาด ไม่ได้วัดกันที่ใครเข้าออร์เดอร์แม่นที่สุด หรือทำกำไรได้เยอะที่สุดเสมอไป แต่คือการรู้จักบริหาร “ต้นทุน” ให้มีประสิทธิภาพเพราะทุกการเทรดไม่ว่าจะได้หรือเสีย คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอะไรบางอย่างเสมอ ค่าสเปรด, Commission, Swap หรือแม้แต่ต้นทุนนอกการเทรดอย่างค่าฝาก/ถอน
ดังนั้นถ้าเราเข้าใจโครงสร้างค่าใช้จ่าย/ต้นทุนมากเท่าไหร่ กำไรเราก็จะมากตาม…ใช่ วันนี้มันอาจจะประหยัด 1–2 ดอลลาร์ต่อออเดอร์ ดูน้อยมากแต่ถ้าสะสมหลายร้อยออร์เดอร์ มันคือผลต่างของ “ความอยู่รอด” และ “ความล้มเหลว” เลยนะ
ทีมงาน: thaiforexbroker.com

