ปกติแล้วเทรดเดอร์มักจะเจอตลาดเทรนด์ขาขึ้น, ขาลงหรือ Sideway วนเวียนกันไป 3 อย่างนี้ใช่ไหมล่ะครับ? แต่มันมีอีกหนึ่งตัวอย่างเทรนด์ตลาดนั่นก็คือ Choppy Market ซึ่งมันก็คือส่วนหนึ่งเทรนด์ Forex เหมือนกันและบทความนี้คุณจะได้รู้จักกับมันมากขึ้นครับ
Highlight บทคัดย่อ
- Choppy Market คือสภาวะที่ราคาไร้ทิศทางคล้ายตลาด Sideway แต่มีความผันผวนมากกว่าและคาดเดายากกว่า+ยังวิ่งในกรอบและอาจจะมี False Breakout ไปนอกกรอบบ้าง
- สาเหตุหลักของตลาด Choppy: มักเกิดจากความไม่แน่ใจของนักลงทุน, การซื้อขายต่ำหรือการรอข่าวสำคัญก่อนเทรด ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่ในสภาวะสมดุลแต่มีการต่อสู้กันรุนแรงและผันผวน
- คำแนะนำการเทรดในตลาดแบบ Choppy แนะนำ 5 ข้อ
-
- ลดขนาด Position Size ลง
- ตั้ง SL/TP ต่างจากเดิม
- ซื้อแนวรับ ขายแนวต้าน
- ใช้อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator
- มอง Timeframes ใหญ่เป็นหลักเสมอ
Choppy Market คืออะไร?
- Choppy Market ในบริบทของตลาด Forex มันคือสภาวะที่ราคาของคู่เงินไม่มีทิศทางชัดเจนหรือไม่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง เอาง่ายๆ ก็คือเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง แกว่งไปมา ซึ่งรวมๆ มันออกจะเป็นแนวเดียวกับตลาด Sideway มากกว่า
- เราจะรู้ได้ไงว่าตอนนี้กำลังอยู่ในตลาด Choppy? ลักษณะของมันก็มีประมาณนี้ครับ…
-
- ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน: อย่างที่บอกไปว่าราคาจะแกว่งไปมา ขึ้นก็ไม่สุด ลงก็ไม่สุด
- ความผันผวนสูง: ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
- เคลื่อนไหวแบบสลับไปมา: ตามชื่อมันเลย Chop = ตัดสลับไปมา รูปแบบกราฟก็จะออกแนวนี้

Choppy กับ Sideway ต่างกันไหม?
ถ้าตอบแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ไม่ได้เหมือนกันแบบ 100% แต่มีความคล้ายกันมากกว่าครับ โดย Choppy จัดเป็นหนึ่งซับเซ็ตของตลาด Sideway เหมือนกัน
- Sideway: แน่นอนว่ามันคือเทรนด์ที่ตลาดเคลื่อนไปทางด้านข้าง ราคาเคลื่อนไหวอยู่ใน กรอบราคา ที่ค่อนข้างชัดเจน สภาพตลาดจะค่อนข้างสงบและคาดเดาทิศทางการวิ่งในกรอบได้ง่ายกว่า
- Choppy Market: ราคาเคลื่อนไหวอยู่ใน กรอบราคา เหมือนกันครับ แต่การเคลื่อนไหวจะผันผวนสูงมากและขึ้นลงสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นระเบียบ บางทีก็เกิด False Breakout จากกรอบด้วย รวมๆ แล้วคาดเดาทิศทางได้ยากกว่า
Sideways | Choppy | |
การเคลื่อนไหวของราคา | วิ่งอยู่ในกรอบ มีแพทเทิร์นชัด | ผันผวนขึ้นลงเร็ว ไม่เป็นระเบียบ |
กรอบราคา | มีกรอบแนวรับแนวต้านที่ชัดเจน | มีกรอบแนวรับแนวต้าน แต่การเคลื่อนไหวภายในกรอบผันผวนมาก |
ความผันผวน | ต่ำถึงปานกลาง การเคลื่อนไหวค่อนข้างเป็นระเบียบ | สูงมาก มีการแกว่งตัวรุนแรงและรวดเร็ว ไม่เป็นระเบียบ |
ความยากในการเทรด | โอกาสทำกำไรมีจำกัด แต่คาดเดาได้ง่ายกว่า | ยากกว่ามาก มีโอกาสโดน Stop Loss บ่อย |
ความแตกต่างระหว่าง Choppy และ Sideway คือเรื่องของความยากในการเทรดที่ต่างกันมากเนื่องจาก Choppy ไม่มีแพทเทิร์นการเคลื่อนไหวชัดเจนเท่า Sideway
สรุปง่ายๆ
- Choppy คือ “ตลาดมั่ว ๆ” เคลื่อนไหวแบบไร้ทิศ ไร้กรอบ เทรดยาก
- Sideway คือ “ตลาดนิ่ง ๆ” ที่ยังพอเดาแนวรับแนวต้านได้ เทรดด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมยังพอได้กำไร
การเทรดในตลาด Choppy ควรทำยังไง?
เอาจริงๆ ผมอยากแนะนำกับเทรดเดอร์มือใหม่ว่าไม่ควรเข้าเทรดถ้าหากตลาดไม่มีเทรนด์ชัดเจน แต่ถ้าหากอยากลองฝึกเทรดกับสภาวะ Choppy Market จริง ก็มีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ครับ
1. ลดขนาด Position Size ลงซะ
- ตลาดที่มีความผันผวนสูงและไม่มีทิศทางเช่นตลาดแบบ Choppy สิ่งแรกที่ควรทำคือลดขนาดการเทรดในแต่ละครั้งลงซะ เพราะการคาดเดาที่ไม่แน่นอน = ความเสี่ยงสูง และการลดขนาด Lot จะช่วยจำกัดความเสียหายได้เยอะ
- จำได้ไหมที่บอกไปตอนต้นว่าบางครั้ง ตลาด Choppy ก็มีจังหวะ False Breakout มาหลอกเหมือนกันนะ แล้วถ้ายิ่งมันไปแตะถึง SL ที่ตั้งไว้ ขนาด Lot เล็กก็ทำให้เราเจ็บน้อยลง

2. เปลี่ยนแนวคิดการตั้ง SL/TP
- การตั้ง Stop Loss: ควรตั้ง SL ให้เผื่อระยะ False Breakout มาเล็กน้อย แน่นอนว่าเราจะตั้ง SL นอกกรอบที่มันวิ่งอยู่แล้วและต้องตั้งแบบไม่เลื่อนตามราคา อย่าเสียดายเด็ดขาด!
- ส่วนการตั้ง Take Profit: อย่าคาดหวังกำไรเป็นกอบเป็นกำกับตลาดแบบนี้ ใช้ RRR 1:1 ดีที่สุด คือตั้งระยะ TP ให้เท่ากับ SL ไปเลย

3. ซื้อแนวรับ ขายแนวต้าน
- วิธี Back to Basic มักจะใช้ได้ผลเสมอ เราต้องหากรอบที่ราคามันวิ่งอยู่ให้เจอ แล้ว Buy ที่แนวรับ Sell ที่แนวต้าน แต่อย่างเพิ่งรีบเข้าออเดอร์นะ ควรรอจังหวะเมื่อมี “สัญญาณกลับตัว”
- สัญญาณกลับตัวที่สามารถดูได้ง่ายๆ ก็เช่น
- แท่งเทียนกลับตัว (Pin Bar, Engulfing)
- Volume พุ่งเมื่อแตะแนวรับ-แนวต้าน (ต้องรอให้มันเลือกทางก่อน)
- ใช้อินดิเคเตอร์พวก Oscillator เช่น RSI

4. Indicators ประเภท Oscillator ช่วยได้
- ทำไมต้องใช้อินดี้พวก Oscillator ก็เพราะมันสามารถบอกภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป) ของตลาดได้ ซึ่งจำเป็นมากๆ สำหรับ Choppy Market
- มันก็ Make Sence ตรงที่ตลาดแบบ Choppy มันคาดการณ์ได้ยากมาก ตัวช่วยแบบ Oscillator จะทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่า
- ถ้าอินดิเคเตอร์บอกว่าราคาขึ้นไปสูงมากจน แตะระดับ Overbought ของมัน ก็เตรียมตัวรอ Sell
- แต่ถ้าราคาลงไปต่ำมากระดับ Oversold ก็เตรียมรอ Buy

5. อย่าลืม Timeframe ใหญ่
- การพิจารณา Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น เช่น H4, D1 สำหรับการเทรดใน Choppy Market มันจะทำให้มองเห็น “โครงสร้างของราคา” ได้ชัดเจนกว่า ถ้าเราดูแค่ TF เล็ก
- โดยเฉพาะการโดน Breakout หลอก มันก็จะลดลง แถมได้รู้ด้วยว่าที่เราคิดว่ามันคือภาวะ Choppy Market เนี่ยมันเป็นของจริงหรือเกิดแค่ใน TF เล็ก เพราะถ้าพลาดเทรดสวนเทรนด์ใหญ่ขึ้นมา ต้องมานั่งแก้เกมปวดหัวแน่นอน
วิดีโอเกี่ยวกับการเทรดในตลาด Sideway
ในบทความอาจจะแนะนำวิธีการเทรดในตลาดแบบ Sideway/Choppy ไว้แค่ 5 ข้อ แต่ถ้าอยากมีไอเดียการเทรดที่นอกเหนือจากนี้สามารถดูได้ในคลิปนี้ เป็นคลิปแชร์ กลยุทธ์การเทรดสำหรับตลาด Sideways (Ranging Market) ทั้งสำหรับคริปโต Forex และหุ้นเลยครับ
- Focus นาทีที่ 00:18 ประเภทของตลาด
- Focus นาทีที่ 02:06 การระบุตลาด Sideways
- Focus นาทีที่ 04:57 กลยุทธ์การเทรดในตลาด Sideways
- Focus นาทีที่ 09:19 การใช้ Grid Bot (อันนี้น่าสนใจ)
สรุป
ตลาด Sideway/Choppy ถ้าจะแนะนำจริงๆ ก็ยังไม่อยากให้เข้าเทรดจนติดเป็นนิสัยแต่ถ้าอยากลองหาโอกาสเทรดดีๆ เตรียมตัวในการบริหารเงินมาแล้วก็ทำตามคำแนะนำที่ได้บอกไป 5 ข้อนั้น หวังว่ามันจะทำให้เทรดเดอร์ทำกำไรและผ่านช่วงนี้ของตลาดไปได้ด้วยดี
อย่าลืมว่าสุดท้ายตลาด Forex มันมีอยู่แค่ 3 เทรนด์หลักๆ Up, Down, Sideway แต่นี้แหละครับ คนที่หาจังหวะเทรดในทั้ง 3 เทรนด์นี้ได้ คือเทรดเดอร์มืออาชีพตัวจริง
ทีมงาน : thaiforexbroker.com