แนวรับ-แนวต้าน คืออะไร? วิธีใช้ทำกำไรและลดความเสี่ยง

วันนี้เราจะ Back to Basic กันครับ…พื้นฐานง่ายๆ แต่ใช้ได้ยาวนาน…ใช่แล้วผมกำลังพูดถึง “แนวรับ-แนวต้าน” ครับ ซึ่งเทรดเดอร์หลายคนอาจจะนึกว่าแนวรับ-แนวต้านนั้นเป็น Price Level อย่างเดียว? แต่สปอยล์ก่อนเลยว่ามันไม่ได้มีแค่นั้นครับ ถ้าอยากรู้แล้วไปหาคำตอบในบทความกันครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • แนวรับ (Support) คือโซนราคาที่มีแรงซื้อ (Buy) เข้ามามากพอที่จะหยุดแรงขาย (Sell) ได้ ทำให้ราคาหยุดลงและเด้งขึ้น
  • แนวต้าน (Resistance) โซนราคาที่มีแรงขาย (Sell) เข้ามามากพอที่จะหยุดแรงซื้อ (Buy) ได้ ทำให้ราคาหยุดขึ้นและไหลลง
  • แนวรับ-แนวต้านจำแนกได้เป็น 3 ประเภท
    1. แนวรับ–แนวต้านแบบระดับราคา (Price Level)
    2. แนวรับ–แนวต้านตามเส้นแนวโน้ม (Trend Line)
    3. แนวรับ–แนวต้านแบบไดนามิก

แนวรับ-แนวต้าน คืออะไร?

หลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่า แนวรับ-แนวต้านคืออะไร แต่เดี๋ยวผมจะพูดถึงเหตุผลในเชิงเทคนิคและจิตวิทยาที่ทำให้เกิดแนวรับ-แนวต้านขึ้นมาได้ครับ

แนวรับ (Support)

  • แนวรับคือโซนราคาที่มีแรงซื้อ (Buy) เข้ามามากพอที่จะหยุดแรงขาย (Sell) ได้ โดยก่อนหน้านี้ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มเป็นขาลง (สั้นหรือยาวก็ได้) แต่จะหยุดลงและดีดตัวกลับขึ้นไป
  • เหตุผลเชิงเทคนิค+จิตวิทยา: เป็นโซนที่เทรดเดอร์จำนวนมากมองว่าเป็น “ราคาที่เหมาะสม” ที่จะเข้าซื้อ ทำให้มีการตั้งคำสั่งซื้อ (Buy Order) จำนวนมากรวมกันที่โซนนี้ พอราคาลงมาถึง คำสั่งซื้อเหล่านี้จะถูกจับคู่กับคำสั่งขาย ทำให้เกิดแรงหนุนจนราคาหยุดหรือตีกลับขึ้นไป

แนวต้าน (Resistance)

  • ส่วนแนวต้านคือโซนราคาที่มีแรงขาย (Sell) เข้ามามากพอที่จะหยุดแรงซื้อ (Buy) ได้ และได้ผลลัพธ์ในทางตรงข้ามกับแนวรับคือราคามักจะหยุดดีดตัวขึ้นและเกิดการย่อตัว/กลับตัวลงมา
  • เหตุผลเชิงเทคนิค + จิตวิทยา: ก็เป็นโซนที่เทรดเดอร์มองว่าเป็น “ราคาที่สูงเกินไป” ทำให้มีการตั้งคำสั่งขาย (Sell Order) จำนวนมากรออยู่ เมื่อราคาขึ้นมาถึงจึงถูกจับคู่กับคำสั่งขายเหล่านี้ ทำให้แรงซื้อไม่สามารถดันราคาขึ้นต่อได้
ภาพอธิบายความหมายของโซนแนวรับและแนวต้าน
โซนราคาที่เทรดเดอร์มองว่าราคาสูงเกินไปและออกคำสั่งขายที่โซนนั้นมาจำนวนมาก กราฟจึงแสดงออกมาด้วยการไหลลงจึงเกิด “แนวต้าน” กลับกันโซนที่เทรดเดอร์มองว่าเป็นราคาที่ควรซื้อ จึงมีคำสั่งซื้อจำนวนมากอยู่โซนนั้นเมื่อ ราคาแสดงออกโดยการเด้งขึ้นจึงเกิด “แนวรับ”

ประเภทของแนวรับ–แนวต้าน

ที่เกริ่นนำไปบอกว่าแนวรับ-แนวต้าน = Price Level ที่สำคัญเท่านั้นใช่ไหม? แต่ความจริงเราสามารถจำแนกแนวรับ-แนวต้านได้ถึง 3 ประเภทด้วยกัน

1. แนวรับ–แนวต้านแบบระดับราคา (Price Level)

  • แนวรับ-แนวต้านแบบแรกคือพื้นฐานที่หลายคนใช้กันอยู่ มันคือระดับราคาที่เห็นได้ชัดเจนจากกราฟว่าเป็นจุดที่ราคาหยุดขึ้นหรือกลับตัวลง
  • ซึ่งมักเกิดขึ้นซ้ำๆ บริเวณ High/Low เดิม หรือจุดที่ราคาหลายครั้งไม่สามารถผ่านได้และโดยส่วนมากระดับที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน มักจะเป็น Round Number (เช่น 1.2000, 1500.00) เพราะเป็นตัวเลขที่จิตวิทยานักลงทุนจดจำง่าย
ตัวอย่างแนวรับ-แนวต้าน แบบระดับราคา (Price Level)
แนวรับ-แนวต้านแบบระดับราคาเป็นที่รู้จักในเทรดเดอร์ส่วนมาก มักจะใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดแนวรับ-แนวต้านสำหรับการวิเคราะห์ทิศทางของราคา

2. แนวรับ–แนวต้านตามเส้นแนวโน้ม (Trend Line)

  • ประเภทที่ 2 คือแนวรับ-แนวต้านตามเส้นแนวโน้มหรือ Trend Line เมื่อเราลากเส้นเชื่อมจุด Low (สำหรับแนวรับ) หรือจุด High (สำหรับแนวต้าน) ตามแนวโน้มที่ราคากำลังเคลื่อน
  • เส้น Trend Line ที่เราวาดยิ่งมีการชนเส้นแนวโน้มหลายครั้ง เส้นนั้นจะยิ่งน่าเชื่อถือ = แนวรับ-แนวต้านนั้นแข็งแกร่ง

ตัวอย่างแนวรับ-แนวต้าน ตามเส้นแนวโน้ม (Trend Line)

3. แนวรับ–แนวต้านไดนามิก

  • ประเภทสุดท้ายจะเป็นแนวรับ-แนวต้านที่ไม่ได้อยู่คงที่ แต่เคลื่อนไหวตามอินดิเคเตอร์ เราจะเรียกมันว่า “แนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก
  • ส่วนใหญ่ใช้อิงกับอินดิเคเตอร์ เช่น Moving Average (Period ใหญ่), Bollinger Bands หรือ Ichimoku Cloud
ตัวอย่างแนวรับ-แนวต้าน แบบไดนามิก (Dynamic) โดยใช้เส้น Moving Average
ตัวอย่างในรูปคือเส้น Moving Average (Period 50 และ 200) ถ้าราคาวิ่งเหนือเส้น MA เส้นนี้จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ แต่ถ้าราคาวิ่งใต้เส้น MA มันจะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน

ตัวอย่างการใช้แนวรับ–แนวต้านทำกำไร

เรามาดูตัวอย่างการใช้แนวรับ-แนวต้านในการเข้าเทรดทำกำไรกันบ้าง ซึ่งอันที่จริงมีวิธีใช้เยอะมาก แต่ในบทความนี้จะขอเน้นวิธีหลักๆ คือ Buy/Sell ที่แนวรับ-แนวต้าน กับการ เทรด Breakout

EX1: การเข้าซื้อ–ขายใกล้แนวรับ–แนวต้าน

กลยุทธ์การเทรดในกรอบ: Buy ที่แนวรับ และ Sell ที่แนวต้าน
ลากเส้นเชื่อม 2 จุด ที่ทำ Lower High เพื่อใช้เป็นเส้นแนวต้านสำหรับเทรนด์ขาลง เมื่อราคาขึ้นมาแตะเส้นนี้ให้เข้า Sell
  • การใช้แนวรับ-แนวต้านในการเทรดมีสูตรพื้นฐานง่ายๆ คือ Sell ที่แนวต้าน Buy ที่แนวรับ
  • ในรูปจะวาด Trend Line เชื่อมได้ตั้งแต่ Lower High 2 จุดแรก ที่บ่งบอกถึงการเริ่มแนวโน้มขาลง โดยเราจะวาดเส้นนี้ยาวออกไปเพื่อทำเป็นแนวต้าน
  • และเมื่อใดที่ราคาขึ้นมาแตะเส้นนี้ = แตะแนวต้าน เราจึงเล่นหน้า Sell เป็นหลัก
  • ส่วนการตั้ง SL ให้ตั้งบริเวณเหนือเส้น Trend Line ที่เราวาดไว้ เผื่อระยะ Stop Hunt ด้วยจะดีมาก เพราะถ้าราคาทะลุเส้นนี้ไป = Breakout ราคาอาจจะกลับลงมาหรือไม่ก็ 50/50
  • ส่วนการตั้ง TP ให้สังเกตว่าราคาสามารถทำ New Low ได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ขยับ SL มากั้นหน้าทุน แต่ถ้าทำ New Low ไม่ได้ให้ชั่งน้ำหนักไปทางปิดกำไรจะดีกว่า แล้วถ้าราคาขึ้นไปชนแนวต้านอีกก็เข้า Sell ใหม่
กลยุทธ์การเทรดเมื่อราคาทะลุแนวรับแนวต้าน (Breakout)
ลากเส้นเชื่อม 2 จุด Higher Low เพื่อใช้เป็นเส้นสำหรับแนวรับ-แนวต้านในเทรนด์ขาขึ้น เมื่อราคาลงมาแตะเส้นนี้ให้เข้า Buy อาจจะมี Breakout บ้างอย่ารีบถอดใจ Cut Loss ให้ดูว่า Breakout จริงหรือหลอก
  • ส่วนขา Buy ที่แนวรับ ใช้หลักการเหมือนกันเลยครับแค่สลับฝั่ง เมื่อราคามาแตะเส้นแนวรับให้ Buy
  • อาจจะเจอ Breakout บ้าง อย่าตกใจให้ดูว่าของจริงหรือหลอก โดยถ้าราคายังกลับเข้ามาในเส้นได้ก็ถือว่า Breakout หลอกถือออเดอร์ต่อได้

EX2: การเทรดเบรกเอาต์ (Breakout)

การใช้เครื่องมือ LuxAlgo หาแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก
เทรด Breakout แนวรับ-แนวต้านไม่ได้ใช้เฉพาะแค่ Price Level เท่านั้น แนวรับ-แนวต้านแบบเส้น Trend Line หรือแบบไดนามิกก็ใช้หลักการนี้ได้เช่นกัน
  • หลักการเทรด Breakout คือเมื่อราคาทะลุแนวรับ-แนวต้านได้ หาจังหวะเข้าเทรดตามทิศทางราคา แต่มีคำแนะนำเพิ่มเติมคือ เมื่อราคา Breakout แล้ว ทางที่เซฟที่สุดคือรอดูจังหวะ Pullback แล้วค่อยเข้าเทรด
  • Pull Back ก็คือพฤติกรรมราคาแบบหนึ่งที่มักจะกลับทดสอบแนวเดิมที่มันเคย Breakout ผ่านไป ถ้าทดสอบแล้วยังไปต่อในทางที่มันทะลุออกมา = Breakout ของจริง (Volume จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ)
  • แต่ถ้ามันย้อนกลับมาทดสอบแล้วหลุดกลับเข้าไปในแนวเดิม = Breakout หลอก เหมือนที่เห็นในตัวอย่างแรกนั่นแหละ
  • เราจะหาจังหวะเข้าเทรดเมื่อราคา Pullback กลับมาทดสอบ ทันทีที่ราคาทำทรงไปต่อในทางที่ทะลุออกมาให้ตั้งคำสั่ง Stop Order ดักรอที่จุดสูงสุด/ต่ำสุด ใกล้ๆกัน
  • เราจะตั้ง TP ในแนวถัดไปก็ได้หรือขยับ SL ตามหลังมาเรื่อยๆ ก็ได้ เช่นกัน แต่เริ่มแรกให้ตั้ง SL ใต้แนวที่ราคาทะลุไปเผื่อเป็น Breakout จะได้จำกัดความเสี่ยงได้ทัน

วิดีโอเกี่ยวกับแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก

 

ในตัวอย่างของบทความยังขาดการเทรดกับแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิกอยู่ ซึ่งเป็นแนวรับ-แนวต้านจากอินดิเคเตอร์ ในวิดีโอนี้จะสอนวิธีใช้ Support and Resistance Dynamic ของ LuxAlgo เพื่อสร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเครื่องมือนี้จะช่วยระบุโซนแนวรับและแนวต้านแบบเรียลไทม์ตามแนวโน้มของตลาด

  • การทำงานของ LuxAlgo
    • ตลาดขาขึ้น: นาทีที่ 00:47 แสดงเฉพาะโซนแนวรับ (สีเขียว)
    • ตลาดขาลง: นาทีที่ 00:55 แสดงเฉพาะโซนแนวต้าน (สีแดง)
    • การกลับตัว: นาทีที่ 01:04 การที่ราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านอย่างชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัว
  • การตั้งค่าที่สำคัญ
    • Multiplicative Factor: นาทีที่ 02:33
    • ATR Length: นาทีที่ 02:46
    • Extend Last: นาทีที่ 02:50
  • Focus นาทีที่ 04:42 กลยุทธ์การเทรดตลาดขาขึ้น
  • Focus นาทีที่ 05:33 กลยุทธ์การเทรดตลาดขาลง
  • Focus นาทีที่ 06:36 การเทรดเมื่อกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
  • Focus นาทีที่ 07:44 การเทรดเมื่อกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น

สรุป

อ่านจนจบก็พอจะได้ความรู้เกี่ยวกับแนวรับ-แนวต้านเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ จากที่คิดว่าแนวรับ-แนวต้านจะเป็นระดับราคาเท่านั้น แต่ในความจริงเส้นแนวโน้มหรืออินดิเคเตอร์ต่างๆ ก็สามารถเป็นแนวรับ-แนวต้านได้เช่นกัน แถมประสิทธิภาพในการใช้เทรดทำกำไรก็ไม่ต่างกันมากด้วย

แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือเรื่องการ Breakout สำหรับมือใหม่อาจจะแยกยากว่าอันไหนคือ Breakout ของจริง/ของปลอม อาจจะต้องใช้เวลาในการฝึก ใช้ Volume ประกอบการดู รับรองว่าไม่ยากเกินมือหรอกครับ

อ้างอิง

  1. เทรด Breakout: thaibrokerforex.com/รู้กลยุทธ์การเทรด-breakout
  2. Stop Hunt: forexbrokerking.com/stop-hunt

ทีมงาน thaiforexbroker.com

สารบัญ