Retail Sales m/m คืออะไร? เจาะลึกตัวชี้วัดการบริโภคในตลาด

เคยสงสัยไหมว่าทำไมข่าวเศรษฐกิจชอบพูดถึง “ยอดค้าปลีก” อยู่เสมอ ข้อมูล Retail Sales m/m คือ ตัวเลขที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภค บอกเล่าเรื่องราวการจับจ่ายที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมากมาย เราจะไปทำความรู้จักกับข้อมูลนี้ให้ลึกกว่าเดิม ทั้งความสำคัญ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบและการเป็นกุญแจไว้ไขความลับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต


ฉบับย่อโดย Thaiforexbroker.com

  • Retail Sales m/m (month-over-month) หรือ ยอดค้าปลีกทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจเทียบกับเดือนก่อนหน้า
  • Retail Sales m/m มีความแตกต่างจาก Core Retail Sales m/m ตรงที่ Core Retail Sales ไม่นับรวมยอดขายรถยนต์ทั้งมือใหม่และมือสอง
  • Retail Sales m/m จัดเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่ใช้เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและปรับปรุงนโยบายทางการเงิน
  • ในอนาคตยอด Retail Sales น่าจับตามองอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของผู้บริโภคจะส่งผลต่อยอดค้าปลีก

Retail Sales m/m คืออะไร?

  • Retail Sales m/m หรือ ยอดค้าปลีกเทียบเดือนต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของยอดขายสินค้าและบริการทั้งหมด(แบบค้าปลีก) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
  • โดยข้อมูลนี้เป็นการวัดผลในรูปของเปอร์เซ็นต์ โดย U.S. Census Bureau and indicate the direction of the economy จะรายงานยอดค้าปลีกของประเทศสหรัฐอเมริกาทุกเดือน เพราะเป็นประเทศที่หลายคนจับตามองในด้านเศรษฐกิจ
  • Retail Sales m/m ครอบคลุมสินค้าและบริการหลากหลายประเภทที่ขายโดยตรงแก่ผู้บริโภคผ่านร้านค้าปลีกต่างๆ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เช่น
    • สินค้าอุปโภคบริโภค : อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬาและอื่นๆ
    • ยานยนต์ : รถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่
    • วัสดุก่อสร้าง : วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง ต่อเติมและซ่อมแซมบ้าน
    • น้ำมันเชื้อเพลิง : น้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซ LPG ที่ใช้สำหรับยานพาหนะ
    • บริการด้านอาหาร : ร้านอาหาร คาเฟ่
    • บริการที่พัก : โรงแรม รีสอร์ทและที่พักอื่นๆ
    • บริการด้านสุขภาพและความงาม : ร้านขายยา คลินิกเสริมความงาม
    • บริการอื่นๆ : บริการซ่อมแซม บริการบันเทิงและบริการด้านการศึกษา
Retail Sales ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท
Retail Sales ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท แต่ Core Retail Sales (ยอดค้าปลีกพื้นฐาน) จะไม่รวมยอดขายรถยนต์ทั้งมือหนึ่ง/มือสอง, ค่าใช้จ่ายน้ำมัน, ค่าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง

ความแตกต่าง ระหว่าง Core Retail Sales และ Retail Sales

หลายคนอาจเคยผ่านหูผ่านตามากับคำว่า Core Retail Sales ซึ่งมันคล้ายกับ Retail Sales มากๆ แต่ระหว่างสองคำนี้มีความแตกต่างกันอยู่

หัวข้อ Retail Sales (ยอดค้าปลีกรวม) Core Retail Sales (ยอดค้าปลีกพื้นฐาน)
มันคืออะไร? ยอดขายรวมทุกสิ่งอย่าง ยอดขายเฉพาะสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน
มีอะไรบ้าง? ทุกอย่างที่ขายในร้านค้าปลีก
ตั้งแต่ขนมปังยันรถยนต์ป้ายแดง
สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
เช่น อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า
อะไรไม่นับ? ยอดขายรถยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ (ทั้งใหม่และมือสอง) น้ำมันเชื้อเพลิง และวัสดุก่อสร้าง
ผันผวนมั้ย? เหวี่ยงขึ้นๆลงๆ เช่น รถยนต์ขายดีเป็นช่วงๆ ราคาน้ำมันก็ผันผวนได้ง่าย นิ่งกว่า
เพราะตัดสินค้าที่มีความผันผวนสูงออกไป
บอกอะไรเรา? ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งหมด กำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภค
ใครใช้? นักเศรษฐศาสตร์ รัฐบาล ธนาคารกลาง นักลงทุนระยะยาว
ข้อดี ครอบคลุมทุกอย่าง
เห็นภาพใหญ่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
แม่นยำกว่าในการวัดกำลังซื้อที่แท้จริง
ข้อเสีย ปัจจัยภายนอกรบกวนง่าย เช่น โปรโมชั่นต่างๆ หรือภัยพิบัติ ไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดของภาคค้าปลีก

ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดคือ Retail Sales จะนับทุกอย่าง รวมถึงยอดขายรถยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลในภาพรวมอย่างแท้จริง

ความสำคัญของ Retail Sales m/m ต่อเศรษฐกิจ

ทีนี้เรามาดูความสำคัญของข้อมูลตัวนี้กันบ้าง ว่ามันบ่งบอกอะไรกับเรา ในแง่มุมไหนบ้าง?

  • เป็นตัวชี้วัดการบริโภคภาคเอกชน: ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น บอกว่าคนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มเติบโต ในทางกลับกันถ้ายอดค้าปลีกลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา
  • ช่วยในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน: ธนาคารกลางใช้ข้อมูลยอดค้าปลีกเพื่อดูว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ถ้าคนซื้อของเยอะ…เศรษฐกิจอาจจะร้อนแรงเกินไป ธนาคารกลางก็อาจจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ
  • ส่งผลต่อตลาดหุ้น: ยอดค้าปลีกที่ดีมักส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทค้าปลีก เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
  • เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ: ถ้าคนซื้อของเยอะ ความต้องการสินค้าก็สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย นั่นก็คือ “เงินเฟ้อ” ไงหล่ะ
  • ช่วยในการวางแผนธุรกิจ : ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลยอดค้าปลีกเพื่อคาดการณ์ความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้า รวมถึงวางแผนการผลิต การจัดจำหน่าย และการตลาดให้เหมาะสม

ปัจจัยที่มีผลต่อ Retail Sales m/m

ยอดขายสินค้าปลีกแต่ละเดือนนั้นได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา โดยจะขอพูดถึงทีละส่วน ดังนี้

ปัจจัยทางเศรษฐกิจ

  • ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม: ถ้าเศรษฐกิจดี…คนมีงานทำ มีรายได้ ก็จะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี…คนก็จะประหยัดมากขึ้น ยอดขายก็จะลดลง
  • อัตราเงินเฟ้อ: เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น ถ้าของแพงขึ้น คนก็จะซื้อของน้อยลง ยอดขายก็ลดลงตาม
  • อัตราดอกเบี้ย: ถ้าดอกเบี้ยสูง คนก็จะกู้เงินมาซื้อของยากขึ้น หรือต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น ทำให้ยอดขายลดลง
  • อัตราการว่างงาน: ถ้าคนตกงานเยอะ ก็ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย ยอดขายก็ลดลง
  • ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค: ถ้าผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในอนาคต ก็จะกล้าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง ก็จะประหยัดมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายปลีกแน่นอน

ปัจจัยอื่นๆ

  • เทศกาล: ช่วงเทศกาลคนมักจะซื้อของเยอะขึ้น เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ หรือคริสต์มาส ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • นโยบายรัฐบาล: ถ้ารัฐบาลมีนโยบายลดภาษี หรือแจกเงินช่วยเหลือ ก็จะทำให้คนมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
  • เทคโนโลยี: เทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ใช้จ่ายเช่น แพลตฟอร์ม E-commerce ส่งผลให้คนนิยมซื้อของออนไลน์มากขึ้น ก็มีผลต่อยอดขายของร้านค้าทั่วไปในบางกลุ่มสินค้า
  • ภัยธรรมชาติ: ถ้าเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็จะทำให้เศรษฐกิจและยอดขายสินค้าได้รับผลกระทบ
ปัจจัยที่มีผลต่อยอดค้าปลีก
ปัจจัยที่มีผลต่อยอดค้าปลีก โดยหลักก็จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนและปัจจัยด้านอื่นๆ อย่างภัยธรรมชาติ พฤติกรรมการบริโภคตามยุคสมัย ก็มีผลต่อยอดค้าปลีกได้เช่นกัน

แนวโน้ม Retail Sales ในอนาคต

ในอนาคตแน่นอนว่าโลกของเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดทางหนึ่งแน่นอน ซึ่ง Retail Sales ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เลี่ยงไม่ได้ต่อการเปลี่ยน เรามาดูกันว่าแนวโน้มในอีก 5 ปี ข้างหน้าของยอดค้าปลีกจะออกมาไปในทิศทางไหน

  1. อีคอมเมิร์ซยังแรงต่อเนื่อง
    • การซื้อของออนไลน์จะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้บริโภคจะมองหาความสะดวกสบายและตัวเลือกที่หลากหลาย
    • ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวด้วยการลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและมีบริการที่ดีเยี่ยม
  2. บทบาทของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น
    • อนาคตของการค้าปลีกจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเป็นหลัก และขนาดตลาดค้าปลีกอัจฉริยะ (Smart Retail) ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตที่ 29.1% ภายในปี 2030
    • เทคโนโลยีอย่าง AI, Machine Learning, และ AR จะมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งให้สนุกและน่าสนใจกว่าเดิม
    • ตัวอย่างเช่น AI สามารถช่วยในการแนะนำสินค้าที่ตรงใจ ส่วน AR ให้ลูกค้าลองสินค้าเสมือนจริงก่อนซื้อ
  3. ประสบการณ์ส่วนบุคคลคือหัวใจสำคัญ
    • ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการและความชอบเฉพาะตัว
    • การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีจะช่วยให้ร้านค้านำเสนอสินค้า โปรโมชั่น ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น
  4. อุปกรณ์อัจฉริยะและ IoT เข้ามามีบทบาท
  5. เทคโนโลยี IoT จะเข้ามามีบทบาทในการจัดการสินค้าคงคลังและการโต้ตอบกับลูกค้า เช่น ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะที่คอยติดตามสต็อกสินค้าและสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้เอง
  6. อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย
    • มีสถิติรายงานว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้จ่ายเกือบ 80 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในโซเชียลคอมเมิร์ซภายในปี 2025 ซึ่งคิดเป็น 5% ของอีคอมเมิร์ซทั้งหมด
    • ดังนั้น โซเชียลมีเดียจะกลายเป็นช่องทางสำคัญในการค้นหาและซื้อสินค้า แบรนด์ต่างๆ จะต้องสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด
ในอนาคตเทคโนโลยีจะมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคและเหล่าธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย การจัดการสินค้าคงหลัง ซึ่งการนับจำนวนยอดค้าปลีกในอนาคตอาจจะต้องเจอกับความท้าทายใหม่ในการเก็บข้อมูล

ณ ปัจจุบัน ข้อมูล Retail Sales m/m ในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มนับรวมยอดขายจากร้านค้าออนไลน์เข้าไปในการคำนวณบ้างแล้วและเชื่อว่า อนาคตยอดขายออนไลน์จะกลายเป็นส่วนสำคัญของยอดค้าปลีกโดยรวม ซึ่งสามารถสะท้อนภาพรวมของการบริโภคภาคเอกชนได้อย่างถูกต้องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น


ช่องทางการติดตามข้อมูล Retail Sales m/m

การติดตามข้อมูล Retail Sales m/m มีหลากหลายช่องทางให้เลือกตามการใช้งานส่วนบุคคล โดยหลักๆ จะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้

1. ช่องทางหลักสำหรับคนทั่วไป

  • เว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ : เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นทางการที่สุด มักจะเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ของแต่ละประเทศนั้นๆ
  • ข่าวเศรษฐกิจ : ข่าวเกี่ยวกับตัวเลข Retail Sales m/m เมื่อมีการประกาศออกมา สำนักข่าวที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ จะประกาศข้อมูลและมีการวิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้น
  • บล็อกหรือบทความวิเคราะห์เศรษฐกิจ : มีหลายเว็บไซต์และบล็อกที่เขียนบทความอธิบายข้อมูลเศรษฐกิจ รวมถึง Retail Sales m/m ในภาษาที่เข้าใจง่ายสำหรับคนทั่วไป

2. ช่องทางสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน

  • ปฏิทินของโบรกเกอร์ : โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีแพลตฟอร์มที่ให้ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ รวมถึง Retail Sales m/m ซึ่งสะดวกสำหรับการติดตามข้อมูลและตัดสินใจซื้อขายทันที
  • เว็บไซต์ข้อมูลเศรษฐกิจเฉพาะทาง : มีเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจจากทั่วโลก เช่น Trading Economics, Investing.com, Forex Factory ซึ่งมีปฏิทินเศรษฐกิจที่แสดงวันประกาศ Retail Sales m/m และข้อมูลย้อนหลัง

ภาพรวมยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

  • ช่วงปกติ: เส้นกราฟจะแกว่งขึ้นลงในกรอบแคบๆ แสดงว่าผู้คนจับจ่ายใช้สอยตามปกติ เศรษฐกิจก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ
  • ช่วงวิกฤต: เส้นกราฟจะแกว่งขึ้นลงรุนแรงมาก เหมือนชีพจรเต้นผิดจังหวะ เกิดความผันผวนสูงกว่าปกติมาก
  • ปี 2001: เกิดเหตุการณ์ 9/11 โศกนาฎกรรมที่กระตุ้นให้เกิดPanic Buying ผู้คนแห่ซื้อสินค้าที่จำเป็น ทั้งอาหาร น้ำ ยา และของใช้ในบ้าน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องก็พุ่งสูงขึ้น รัฐบาลก็ออกมาอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
  • ปี 2008: กราฟดิ่งลงเหวลึก แสดงถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ คนตกงาน ธุรกิจล้มละลาย การจับจ่ายใช้สอยหยุดชะงัก
  • ปี 2020: เกิดการระบาดของ Covid-19 กราฟร่วงลงแรงมากจากมาตรการล็อกดาวน์ แต่ที่น่าสนใจคือหลังจากนั้น กราฟพุ่งขึ้นสูงมาก เป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว เพราะรัฐบาลอัดฉีดเงินช่วยเหลือมหาศาล คนมีเงินในมือ ก็ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมันมือเค้าล่ะ
ตัวอย่างกราฟภาพรวมความผันผวนของ Retail Sales m/m
ตัวอย่างกราฟภาพรวมความผันผวนของ Retail Sales m/m ในสหรัฐฯ พบว่าในช่วงเวลาปกติความผันผวนจะแคบ จะมีช่วงเวลาที่ประเทศเกิดวิกฤติที่กราฟจีความผันผวนรุนแรง

ตัวอย่างข่าว Retail Sales m/m

ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนสิงหาคม

ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.2% กลุ่มสินค้าควบคุมก็เพิ่มขึ้น 0.3% ตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.1%
การที่ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.1% ทำให้ดอลล่าห์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น แต่ก็มีปัจจัยของคู่สกุลเงินนั้นๆ ร่วมอยู่ จากรูปจะเห็นว่าคู่ USDCADและ EIRISD บ่งบอกว่า USD แข็งค่าจริงเพียงเล็กน้อย

คาดการณ์ผลกระทบ

  • ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ: ข้อมูลยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งอาจช่วยลดความกังวลเรื่องภาวะถดถอย
  • ต่อนโยบายการเงินของเฟด: ข้อมูลนี้อาจทำให้เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมครั้งถัดไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ต่อตลาดเงิน: ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นเนื่องจากข้อมูลยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่ง แต่ในระยะยาวอาจอ่อนค่าลงหากเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย
  • ต่อตลาดหุ้น : ข้อมูลยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค
  • ต่อราคาทองคำ : ราคาทองคำอาจลดลงในระยะสั้นเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ในระยะยาวอาจเพิ่มขึ้นหากเฟดลดอัตราดอกเบี้ย

วิดีโอเกี่ยวกับ Retail Sales

มีวิดีโอหนึ่งใน YouTube ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอธิบาย Retail Sales ฉบับย่อและเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นทางทีมงานขอแปะลิงค์เอาไว้เพื่อให้ผู้อ่านได้ดูวิดีโอประกอบเนื้อหาที่สำคัญไปด้วย

  • Focus นาทีที่ 01:15 ความสําคัญของข้อมูลยอดค้าปลีก
  • Focus นาทีที่ 02:18 ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจทางเลือก
  • Focus นาทีที่ 03 :09 ยอดค้าปลีกที่สูงขึ้นมักบ่งบอกถึงผลกําไรขององค์กรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อราคาหุ้น

สรุป

Retail Sales m/m หรือยอดค้าปลีกเทียบเดือนต่อเดือน กลายเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนและมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่ยอดค้าปลีกที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ และยอดค้าปลีกยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลาง และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและราคาทองคำอีกด้วย

จึงไม่แปลกใจเลยว่าข้อมูล Retail Sales m/m ถึงถูกจัดอยู่ในข่าวเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ที่นักลงทุนหลายคนคอยติดตามอย่างใกล้ ยิ่งได้เรียนรู้และวิเคราะห์เป็นก็จะยิ่งทำให้เรามองเห็นโอกาศในการปรับตัวได้ง่ายขึ้นพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้แน่นอน