เคยสงสัยไหมว่าทำไมข่าวเศรษฐกิจชอบพูดถึง “ยอดค้าปลีก” อยู่เสมอ ข้อมูล Retail Sales m/m คือ ตัวเลขที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภค บอกเล่าเรื่องราวการจับจ่ายที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมากมาย เราจะไปทำความรู้จักกับข้อมูลนี้ให้ลึกกว่าเดิม ทั้งความสำคัญ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบและการเป็นกุญแจไว้ไขความลับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
ฉบับย่อโดย Thaiforexbroker.com
- Retail Sales m/m (month-over-month) หรือ ยอดค้าปลีกทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- Retail Sales m/m มีความแตกต่างจาก Core Retail Sales m/m ตรงที่ Core Retail Sales ไม่นับรวมยอดขายรถยนต์ทั้งมือใหม่และมือสอง
- Retail Sales m/m จัดเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่ใช้เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและปรับปรุงนโยบายทางการเงิน
- ในอนาคตยอด Retail Sales น่าจับตามองอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของผู้บริโภคจะส่งผลต่อยอดค้าปลีก
Retail Sales m/m คืออะไร?
- Retail Sales m/m หรือ ยอดค้าปลีกเทียบเดือนต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของยอดขายสินค้าและบริการทั้งหมด(แบบค้าปลีก) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- โดยข้อมูลนี้เป็นการวัดผลในรูปของเปอร์เซ็นต์ โดย U.S. Census Bureau and indicate the direction of the economy จะรายงานยอดค้าปลีกของประเทศสหรัฐอเมริกาทุกเดือน เพราะเป็นประเทศที่หลายคนจับตามองในด้านเศรษฐกิจ
- Retail Sales m/m ครอบคลุมสินค้าและบริการหลากหลายประเภทที่ขายโดยตรงแก่ผู้บริโภคผ่านร้านค้าปลีกต่างๆ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เช่น
- สินค้าอุปโภคบริโภค : อาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬาและอื่นๆ
- ยานยนต์ : รถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่
- วัสดุก่อสร้าง : วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง ต่อเติมและซ่อมแซมบ้าน
- น้ำมันเชื้อเพลิง : น้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซ LPG ที่ใช้สำหรับยานพาหนะ
- บริการด้านอาหาร : ร้านอาหาร คาเฟ่
- บริการที่พัก : โรงแรม รีสอร์ทและที่พักอื่นๆ
- บริการด้านสุขภาพและความงาม : ร้านขายยา คลินิกเสริมความงาม
- บริการอื่นๆ : บริการซ่อมแซม บริการบันเทิงและบริการด้านการศึกษา

ความแตกต่าง ระหว่าง Core Retail Sales และ Retail Sales
หลายคนอาจเคยผ่านหูผ่านตามากับคำว่า Core Retail Sales ซึ่งมันคล้ายกับ Retail Sales มากๆ แต่ระหว่างสองคำนี้มีความแตกต่างกันอยู่
หัวข้อ | Retail Sales (ยอดค้าปลีกรวม) | Core Retail Sales (ยอดค้าปลีกพื้นฐาน) |
มันคืออะไร? | ยอดขายรวมทุกสิ่งอย่าง | ยอดขายเฉพาะสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน |
มีอะไรบ้าง? | ทุกอย่างที่ขายในร้านค้าปลีก ตั้งแต่ขนมปังยันรถยนต์ป้ายแดง |
สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เช่น อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า |
อะไรไม่นับ? | ❌ | ยอดขายรถยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ (ทั้งใหม่และมือสอง) น้ำมันเชื้อเพลิง และวัสดุก่อสร้าง |
ผันผวนมั้ย? | เหวี่ยงขึ้นๆลงๆ เช่น รถยนต์ขายดีเป็นช่วงๆ ราคาน้ำมันก็ผันผวนได้ง่าย | นิ่งกว่า เพราะตัดสินค้าที่มีความผันผวนสูงออกไป |
บอกอะไรเรา? | ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งหมด | กำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภค |
ใครใช้? | นักเศรษฐศาสตร์ รัฐบาล | ธนาคารกลาง นักลงทุนระยะยาว |
ข้อดี | ครอบคลุมทุกอย่าง เห็นภาพใหญ่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ |
แม่นยำกว่าในการวัดกำลังซื้อที่แท้จริง |
ข้อเสีย | ปัจจัยภายนอกรบกวนง่าย เช่น โปรโมชั่นต่างๆ หรือภัยพิบัติ | ไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดของภาคค้าปลีก |
ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดคือ Retail Sales จะนับทุกอย่าง รวมถึงยอดขายรถยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลในภาพรวมอย่างแท้จริง
ความสำคัญของ Retail Sales m/m ต่อเศรษฐกิจ
ทีนี้เรามาดูความสำคัญของข้อมูลตัวนี้กันบ้าง ว่ามันบ่งบอกอะไรกับเรา ในแง่มุมไหนบ้าง?
- เป็นตัวชี้วัดการบริโภคภาคเอกชน: ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น บอกว่าคนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มเติบโต ในทางกลับกันถ้ายอดค้าปลีกลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา
- ช่วยในการตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน: ธนาคารกลางใช้ข้อมูลยอดค้าปลีกเพื่อดูว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ถ้าคนซื้อของเยอะ…เศรษฐกิจอาจจะร้อนแรงเกินไป ธนาคารกลางก็อาจจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ
- ส่งผลต่อตลาดหุ้น: ยอดค้าปลีกที่ดีมักส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทค้าปลีก เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
- เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ: ถ้าคนซื้อของเยอะ ความต้องการสินค้าก็สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย นั่นก็คือ “เงินเฟ้อ” ไงหล่ะ
- ช่วยในการวางแผนธุรกิจ : ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลยอดค้าปลีกเพื่อคาดการณ์ความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้า รวมถึงวางแผนการผลิต การจัดจำหน่าย และการตลาดให้เหมาะสม
ปัจจัยที่มีผลต่อ Retail Sales m/m
ยอดขายสินค้าปลีกแต่ละเดือนนั้นได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา โดยจะขอพูดถึงทีละส่วน ดังนี้
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
- ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม: ถ้าเศรษฐกิจดี…คนมีงานทำ มีรายได้ ก็จะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี…คนก็จะประหยัดมากขึ้น ยอดขายก็จะลดลง
- อัตราเงินเฟ้อ: เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น ถ้าของแพงขึ้น คนก็จะซื้อของน้อยลง ยอดขายก็ลดลงตาม
- อัตราดอกเบี้ย: ถ้าดอกเบี้ยสูง คนก็จะกู้เงินมาซื้อของยากขึ้น หรือต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น ทำให้ยอดขายลดลง
- อัตราการว่างงาน: ถ้าคนตกงานเยอะ ก็ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย ยอดขายก็ลดลง
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค: ถ้าผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในอนาคต ก็จะกล้าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง ก็จะประหยัดมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายปลีกแน่นอน
ปัจจัยอื่นๆ
- เทศกาล: ช่วงเทศกาลคนมักจะซื้อของเยอะขึ้น เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ หรือคริสต์มาส ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- นโยบายรัฐบาล: ถ้ารัฐบาลมีนโยบายลดภาษี หรือแจกเงินช่วยเหลือ ก็จะทำให้คนมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
- เทคโนโลยี: เทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ใช้จ่ายเช่น แพลตฟอร์ม E-commerce ส่งผลให้คนนิยมซื้อของออนไลน์มากขึ้น ก็มีผลต่อยอดขายของร้านค้าทั่วไปในบางกลุ่มสินค้า
- ภัยธรรมชาติ: ถ้าเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็จะทำให้เศรษฐกิจและยอดขายสินค้าได้รับผลกระทบ

แนวโน้ม Retail Sales ในอนาคต
ในอนาคตแน่นอนว่าโลกของเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดทางหนึ่งแน่นอน ซึ่ง Retail Sales ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เลี่ยงไม่ได้ต่อการเปลี่ยน เรามาดูกันว่าแนวโน้มในอีก 5 ปี ข้างหน้าของยอดค้าปลีกจะออกมาไปในทิศทางไหน
- อีคอมเมิร์ซยังแรงต่อเนื่อง
- การซื้อของออนไลน์จะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้บริโภคจะมองหาความสะดวกสบายและตัวเลือกที่หลากหลาย
- ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวด้วยการลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและมีบริการที่ดีเยี่ยม
- บทบาทของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น
- อนาคตของการค้าปลีกจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเป็นหลัก และขนาดตลาดค้าปลีกอัจฉริยะ (Smart Retail) ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตที่ 29.1% ภายในปี 2030
- เทคโนโลยีอย่าง AI, Machine Learning, และ AR จะมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งให้สนุกและน่าสนใจกว่าเดิม
- ตัวอย่างเช่น AI สามารถช่วยในการแนะนำสินค้าที่ตรงใจ ส่วน AR ให้ลูกค้าลองสินค้าเสมือนจริงก่อนซื้อ
- ประสบการณ์ส่วนบุคคลคือหัวใจสำคัญ
- ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการและความชอบเฉพาะตัว
- การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีจะช่วยให้ร้านค้านำเสนอสินค้า โปรโมชั่น ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น
- อุปกรณ์อัจฉริยะและ IoT เข้ามามีบทบาท
- เทคโนโลยี IoT จะเข้ามามีบทบาทในการจัดการสินค้าคงคลังและการโต้ตอบกับลูกค้า เช่น ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะที่คอยติดตามสต็อกสินค้าและสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้เอง
- อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย
-
- มีสถิติรายงานว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้จ่ายเกือบ 80 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในโซเชียลคอมเมิร์ซภายในปี 2025 ซึ่งคิดเป็น 5% ของอีคอมเมิร์ซทั้งหมด
- ดังนั้น โซเชียลมีเดียจะกลายเป็นช่องทางสำคัญในการค้นหาและซื้อสินค้า แบรนด์ต่างๆ จะต้องสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด

ณ ปัจจุบัน ข้อมูล Retail Sales m/m ในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มนับรวมยอดขายจากร้านค้าออนไลน์เข้าไปในการคำนวณบ้างแล้วและเชื่อว่า อนาคตยอดขายออนไลน์จะกลายเป็นส่วนสำคัญของยอดค้าปลีกโดยรวม ซึ่งสามารถสะท้อนภาพรวมของการบริโภคภาคเอกชนได้อย่างถูกต้องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ช่องทางการติดตามข้อมูล Retail Sales m/m
การติดตามข้อมูล Retail Sales m/m มีหลากหลายช่องทางให้เลือกตามการใช้งานส่วนบุคคล โดยหลักๆ จะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
1. ช่องทางหลักสำหรับคนทั่วไป
- เว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ : เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นทางการที่สุด มักจะเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ของแต่ละประเทศนั้นๆ
- ข่าวเศรษฐกิจ : ข่าวเกี่ยวกับตัวเลข Retail Sales m/m เมื่อมีการประกาศออกมา สำนักข่าวที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ จะประกาศข้อมูลและมีการวิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้น
- บล็อกหรือบทความวิเคราะห์เศรษฐกิจ : มีหลายเว็บไซต์และบล็อกที่เขียนบทความอธิบายข้อมูลเศรษฐกิจ รวมถึง Retail Sales m/m ในภาษาที่เข้าใจง่ายสำหรับคนทั่วไป
2. ช่องทางสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน
- ปฏิทินของโบรกเกอร์ : โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีแพลตฟอร์มที่ให้ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ รวมถึง Retail Sales m/m ซึ่งสะดวกสำหรับการติดตามข้อมูลและตัดสินใจซื้อขายทันที
- เว็บไซต์ข้อมูลเศรษฐกิจเฉพาะทาง : มีเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจจากทั่วโลก เช่น Trading Economics, Investing.com, Forex Factory ซึ่งมีปฏิทินเศรษฐกิจที่แสดงวันประกาศ Retail Sales m/m และข้อมูลย้อนหลัง
ภาพรวมยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
- ช่วงปกติ: เส้นกราฟจะแกว่งขึ้นลงในกรอบแคบๆ แสดงว่าผู้คนจับจ่ายใช้สอยตามปกติ เศรษฐกิจก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ
- ช่วงวิกฤต: เส้นกราฟจะแกว่งขึ้นลงรุนแรงมาก เหมือนชีพจรเต้นผิดจังหวะ เกิดความผันผวนสูงกว่าปกติมาก
- ปี 2001: เกิดเหตุการณ์ 9/11 โศกนาฎกรรมที่กระตุ้นให้เกิดPanic Buying ผู้คนแห่ซื้อสินค้าที่จำเป็น ทั้งอาหาร น้ำ ยา และของใช้ในบ้าน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องก็พุ่งสูงขึ้น รัฐบาลก็ออกมาอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
- ปี 2008: กราฟดิ่งลงเหวลึก แสดงถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ คนตกงาน ธุรกิจล้มละลาย การจับจ่ายใช้สอยหยุดชะงัก
- ปี 2020: เกิดการระบาดของ Covid-19 กราฟร่วงลงแรงมากจากมาตรการล็อกดาวน์ แต่ที่น่าสนใจคือหลังจากนั้น กราฟพุ่งขึ้นสูงมาก เป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว เพราะรัฐบาลอัดฉีดเงินช่วยเหลือมหาศาล คนมีเงินในมือ ก็ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมันมือเค้าล่ะ

ตัวอย่างข่าว Retail Sales m/m
ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนสิงหาคม
ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.2% กลุ่มสินค้าควบคุมก็เพิ่มขึ้น 0.3% ตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

คาดการณ์ผลกระทบ
- ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ: ข้อมูลยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งอาจช่วยลดความกังวลเรื่องภาวะถดถอย
- ต่อนโยบายการเงินของเฟด: ข้อมูลนี้อาจทำให้เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมครั้งถัดไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ต่อตลาดเงิน: ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นเนื่องจากข้อมูลยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่ง แต่ในระยะยาวอาจอ่อนค่าลงหากเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย
- ต่อตลาดหุ้น : ข้อมูลยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค
- ต่อราคาทองคำ : ราคาทองคำอาจลดลงในระยะสั้นเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ในระยะยาวอาจเพิ่มขึ้นหากเฟดลดอัตราดอกเบี้ย
วิดีโอเกี่ยวกับ Retail Sales
มีวิดีโอหนึ่งใน YouTube ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอธิบาย Retail Sales ฉบับย่อและเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นทางทีมงานขอแปะลิงค์เอาไว้เพื่อให้ผู้อ่านได้ดูวิดีโอประกอบเนื้อหาที่สำคัญไปด้วย
- Focus นาทีที่ 01:15 ความสําคัญของข้อมูลยอดค้าปลีก
- Focus นาทีที่ 02:18 ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจทางเลือก
- Focus นาทีที่ 03 :09 ยอดค้าปลีกที่สูงขึ้นมักบ่งบอกถึงผลกําไรขององค์กรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อราคาหุ้น
สรุป
Retail Sales m/m หรือยอดค้าปลีกเทียบเดือนต่อเดือน กลายเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนและมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่ยอดค้าปลีกที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ และยอดค้าปลีกยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลาง และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและราคาทองคำอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่าข้อมูล Retail Sales m/m ถึงถูกจัดอยู่ในข่าวเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ที่นักลงทุนหลายคนคอยติดตามอย่างใกล้ ยิ่งได้เรียนรู้และวิเคราะห์เป็นก็จะยิ่งทำให้เรามองเห็นโอกาศในการปรับตัวได้ง่ายขึ้นพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้แน่นอน