ระบบเศรษฐกิจในโลกของเรานั้นเชื่อมโยงกันเหมือนเครือข่ายขนาดยักษ์ และสิ่งหนึ่งที่สามารถบอกเราได้ว่าอนาคตของเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หนึ่งในดัชนีที่ใช้วัดความรู้สึกนี้ก็คือ CB Consumer Confidence มันคือดัชนีอะไร? มีความสำคัญแค่ไหน? เราจะไปทำความรู้จักกับมันให้ลึกซึ้งในบทความนี้
ฉบับย่อโดย Thaiforexbroker.com
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB Consumer Confidence) เป็นดัชนีที่วัดระดับความรู้สึกของผู้บริโภคต่อสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและอนาคต
- ข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสามารถดูจากเว็บไซต์ของ Conference Board (CB) และเว็บไซต์เกี่ยวกับข่าวเศรษฐกิจ
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีผลต่อการตัดสินใจใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
- ปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้แก่ สถานการณ์ตลาดแรงงาน อัตราเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และความคาดหวังในอนาคต
CB Consumer Confidence คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?
- CB Consumer Confidence คือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งจัดทำและเผยแพร่โดย The Conference Board (CB) ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยอิสระในสหรัฐอเมริกา จะวัดระดับความรู้สึกของผู้บริโภคว่า “ผู้บริโภครู้สึกอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจในตอนนี้และในอนาคต”
- Consumer Confidence Index (ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค) จะมีการวัดและรายงานโดยองค์กร หลายๆแห่ง แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ถ้าในประเทศไทยจะจัดทำโดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แต่วันนี้เราจะมาให้พูดกันในส่วนของ CB (The Conference Board) จึงสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เท่านั้น
- CB จะนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ไปใช้ในการให้คำแนะนำแก่นักธุรกิจ นักลงทุน และรัฐบาล เพื่อช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคนี้ได้มาอย่างไร?
- การสำรวจความคิดเห็น : The Conference Board จะทำการสำรวจข้อมูลจากผู้บริโภคประมาณ 5,000 ครัวเรือนทั่วสหรัฐฯ แบบสุ่ม โดยใช้แบบสอบถามที่มีการออกแบบมาเพื่อประเมินโดยเฉพาะ
- มุมมองของเศรษฐกิจปัจจุบัน: ข้อมูลจากผู้บริโภคที่ CB ต้องการจะเกี่ยวกับมุมมองสถานะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานและรายได้
- ความคาดหวังในอนาคต: ความคิดเห็นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า รวมถึงความคาดหวังต่อรายได้และโอกาสในการหางานในอนาคต
- องค์ประกอบของดัชนี : หลังจากที่ได้ข้อมูลดิบ (Raw Information) จากผู้บริโภคแล้วต่อไปก็จะเป็นการแยกข้อมูลเพื่อวัดค่าดัชนี ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วนหลักดังนี้
- Present Situation Index : วัดมุมมองของผู้บริโภคต่อสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยพิจารณาเรื่องการจ้างงานและสภาพการเงินในปัจจุบัน
- Expectations Index : วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยถามถึงความคาดหวังเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การจ้างงาน และรายได้
- คำนวณคะแนนดัชนี : CB จะมีสูตรการคำนวนโดยการหาค่าเฉลี่ยของคำตอบจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งจะถูกแปลงเป็นค่าดัชนี
- ค่าดัชนีที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 100 = ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจมากขึ้น
- ค่าดัชนีที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 100 = ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจลดลง
- เผยแพร่ผลลัพธ์ : ตัวเลขที่ได้จากการคำนวนนี้จะถูกเผยแพร่ทุกเดือนโดย The Conference Board

อะไรบ้างที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค?
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสามารถบอกทิศทางของเศรษฐกิจได้เลย ถ้าหากผู้บริโภคมั่นใจก็จะกล้าจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต แต่ถ้าผู้บริโภคขาดความมั่นใจเศรษฐกิจก็อาจชะลอตัวลงได้ สิ่งที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สามารถแบ่งเป็นปัจจัย ได้ 3 ปัจจัยหลักๆ
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
- อัตราเงินเฟ้อ : หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อลดลง และความเชื่อมั่นก็ลดตามไปด้วย
- อัตราดอกเบี้ย : เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินก็จะสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการขนาดใหญ่ น้อยลง
- ตลาดแรงงาน : หากอัตราการว่างงานสูงหรือมีการเลิกจ้างงานเยอะ ผู้บริโภคจะรู้สึกไม่มั่นคงในรายได้ จึงลดการใช้จ่าย
- นโยบายภาครัฐ : นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น การปรับขึ้นภาษีหรือการลดภาษี ก็มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
- ปัจจัยภายนอก
- สงคราม : สงครามจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้แย่ลงมากๆ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่แน่นอนและลดการใช้จ่าย
- ภัยธรรมชาติ : เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตเป็นวงกว้าง ทำให้ผู้บริโภคต้องนำเงินไปใช้ในการฟื้นฟู
- การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง : การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่แน่นอนหรือความขัดแย้งทางการเมือง จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค
- สื่อมวลชน : ข่าวสารที่เผยแพร่ เช่น ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ก็มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้บริโภค
- ปัจจัยทางจิตวิทยา
- ความกลัว : ความกลัวต่อการสูญเสียงาน การลงทุนขาดทุนหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
- พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนในสังคม : การเห็นคนในสังคมใช้จ่ายเงิน ก็อาจกระตุ้นให้เราอยากใช้จ่ายตามไปด้วย

เมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้น อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง?
เมื่อกี้เราได้ดูไปแล้วว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ทีนี้เรามาดูกันว่า ถ้าความเชื่อมั่นของบริโภคสูงขึ้นผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? ส่งผลด้านไหนบ้าง? และแน่นอนถ้าหากความเชื่อมั่นต่ำลงจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
การใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เศรษฐกิจเติบโต : เมื่อผู้บริโภคกล้าใช้จ่าย ธุรกิจต่างๆ ก็จะขายสินค้าได้มากขึ้น ทำให้เกิดการผลิตเพิ่มขึ้นและสุดท้ายก็จะส่งผลให้ GDP เติบโต
- การจ้างงานเพิ่มขึ้น : เมื่อธุรกิจขยายตัวก็ต้องมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการผลิตและการบริการ
- ราคาสินค้าและบริการปรับตัวขึ้น : เมื่อความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ราคาอาจจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว
ตลาดคึกคัก นักลงทุนมั่นใจ
- นักลงทุนมีความมั่นใจ : เมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจกำลังไปในทิศทางที่ดี นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจที่จะนำเงินมาลงทุนในธุรกิจต่างๆ
- ตลาดหุ้นคึกคัก : เมื่อนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ตลาดหุ้นก็จะคึกคัก และดัชนีตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
- การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น : เมื่อผู้บริโภคมั่นใจในอนาคต ก็จะเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยใหม่หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไร
ธุรกิจเติบโต ผู้ประกอบการมีกำลังใจ
- ยอดขายเพิ่มขึ้น : ธุรกิจต่างๆ จะมียอดขายเพิ่มขึ้น เพราะผู้บริโภคกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
- การแข่งขันสูงขึ้น : เมื่อธุรกิจต่างๆ มีกำไรมากขึ้น การแข่งขันก็จะสูงขึ้น ทำให้เกิดนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมา
สังคมมีคุณภาพชีวิตเปลี่ยนไป
- คุณภาพชีวิตดีขึ้น : เมื่อเศรษฐกิจเติบโต รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตโดยรวมก็จะดีขึ้น
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน : รัฐบาลจะมีงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนนหนทาง สาธารณูปโภค
- ความรู้สึกมั่นคงของประชาชน : เมื่อเศรษฐกิจดี ผู้คนจะรู้สึกมั่นคงในชีวิตและอนาคตมากขึ้นนำมาซึ่งดัชนีความสุขภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ ส่งผลเสียอย่างไร?
แน่นอนว่าในเมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำลงก็จะจะส่งผลในทางตรงกันข้าม โดยเราจะไม่ขอเจาะลึกละเอียดมากนัก แต่จะพูดในภาพรวมคร่าวๆ
- ผลกระทบต่อการใช้จ่าย
- ผู้บริโภคจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากกลัวว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง อาจนำไปสู่การว่างงาน หรือรายได้ลดลง
- ผู้บริโภคจะหันมาซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น
- ผลกระทบต่อการลงทุน
- นักลงทุนจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร หรือทองคำ
- ธุรกิจต่างๆ จะชะลอการลงทุนขยายกิจการ เนื่องจากกลัวว่ายอดขายจะลดลง
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
- เมื่อการใช้จ่ายและการลงทุนลดลง เศรษฐกิจก็จะชะลอตัวตามไปด้วย และเมื่อธุรกิจชะลอตัว การจ้างงานก็จะลดลง ส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น
- เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ได้ ผู้ผลิตและผู้ให้บริการอาจต้องลดราคาสินค้าและบริการลง
- ในกรณีที่รุนแรงมาก อาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด คือสภาวะที่เศรษฐกิจหดตัว ราคาสินค้าและบริการลดลงและอัตราเงินเฟ้อเป็นลบ

เราจะติดตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างไร?
จากข้อมูลข้างต้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมันเพิ่มขึ้นหรือลดลง ข้อมูล Consumer Confidence โดยทั่วไปสามารถติดตามได้ที่องค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละประเทศ ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึงทั้งของไทยและต่างประเทศที่นิยมอย่าง สหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นข้อมูลแก่นักลงทุน
- ตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศไทยสามารถติดตามได้จาก
- ในส่วนของต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา สามารถติดตามข้อมูล CCI ได้ที่
- เว็บไซต์ของ Conference Board เป็นเว็บไซต์หลักที่มีความน่าเชื่อสูงมาก เป็นแหล่งข้อมูลที่หลายองค์กรใช้อ้างอิงและนำข้อมูลไปเผยแพร่
- สื่อเศรษฐกิจชั้นนำ เช่น Bloomberg, Reuters ให้ข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ มีการรายงานดัชนี CCI ของหลายประเทศ
- เว็บไซต์ปฏิทินเศรษฐกิจ เช่น ForexFactory, Investing.com นอกจากปฏิทินเศรษฐกิจแล้ว ยังมีฟอรัมสำหรับสมาชิกในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวิเคราะห์ข่าวสารร่วมกัน
ตัวอย่างการใช้งาน CB Consumer Confidence ในการวิเคราะห์

CB Consumer Confidence ที่ระดับ 103.3 บอกอะไรเราบ้างน้า? มาดูตัวอย่างการวิเคราะห์กัน แต่อย่าลืมพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยนะ
- ภาพรวม:
- ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในระดับปานกลางค่อนไปทางสูง
- ค่าดัชนีที่สูงกว่า 100 บ่งชี้ว่าผู้บริโภครู้สึกดีกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและมีความคาดหวังมองอนาคตในแง่บวก
- สถานการณ์ปัจจุบัน:
- การจ้างงานดี: คนอเมริกันมองว่าการหางานทำไม่ยาก มีโอกาสในการหางานทำเสมอ
- สภาพการเงินมั่นคง: ผู้คนรู้สึกว่าฐานะทางการเงินของพวกเขาค่อนข้างโอเคเลย
- ความคาดหวังในอนาคต:
- เศรษฐกิจเติบโต: แม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและดอกเบี้ยบ้าง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตต่อไปในอีก 6 เดือนข้างหน้า
- มีโอกาสได้รายได้สูงขึ้น: ผู้คนคาดหวังว่าจะมีโอกาสในการหางานที่ดีขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
- ผลกระทบต่อตลาด Forex:
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า: ความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นก็อาจทำให้นักลงทุนหันมาสนใจเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
- สกุลเงินอาจผันผวนได้: คู่เงินหลักๆ อย่าง EUR/USD, USD/JPY, และ GBP/USD อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
- โอกาสในการเข้าเทรด: เมื่อเอาข้อมูลหลายๆอย่างมาประกอบกัน เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจภาคอื่นๆ, นโยบายของธนาคารกลาง, และสถานการณ์โลก
กรณีศึกษา: เมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม

- The Conference Board เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเป็น 103.3 ในเดือนสิงหาคม จาก 101.9 ในเดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจมากขึ้น
- ผู้บริโภคมีความคาดหวังที่ดีขึ้นเกี่ยวกับรายได้ ธุรกิจ และตลาดแรงงานในอนาคตอันใกล้
- แม้ว่าดัชนีโดยรวมจะดีขึ้น แต่ยังมีปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโคครู้สึกไม่แน่นอน เช่น การชะลอตัวของตลาดแรงงานและการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.3%
- แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงจากปี 2022 แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นยังคงส่งผลกระทบต่อการออมของผู้บริโภค
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระของผู้บริโภค
อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นเปลี่ยนแปลง
- การชะลอตัวของการเติบโตของงานและอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์การจ้างงานในอนาคต ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นโดยรวม
- แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงจากระดับสูงสุด แต่ค่าครองชีพที่ยังคงสูงก็ยังคงกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค
- แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจไม่ดีนัก แต่ความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับอนาคตก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดระดับความเชื่อมั่น เช่น การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว หรืออัตราเงินเฟ้อจะลดลงมากน้อยเพียงใด
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์เหล่านั้นบ้าง?
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่ได้คงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น แนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจ
- ตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
- ความคาดหวังและความเชื่อมั่นในอนาคตมีบทบาทสำคัญ เมื่อผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นสูง พวกเขาก็จะกล้าที่จะใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้เอง
- สรุปจากข่าวคือ ประชาชนสหรัฐฯ มีมุมมองทางเศรษฐกิจที่ดีจนเกิดความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชนกันเองต่ออนาคต แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่ได้ฟื้นตัวดีเท่าไหร่นัก
วิดีโอเกี่ยวกับ CB Consumer Confidence ในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
มีวิดีโอจากช่อง YouTube ของ The Wall Street Journal กับประเด็นที่น่าสนใจที่เรากำลังพูดถึงคือ ทำไม”ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค”เป็นกุญแจสําคัญในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งเนื้อหาเป็นอะไรที่ตรงประเด็นเพราะดัชนีตัวนี้มีผลกระทบในภาพรวมมากกว่าที่คิด
- Focus นาทีที่ 00:18 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในเศรษฐกิจอย่างไร?
- Focus นาทีที่ 02:15 การวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีความสำคัญมากในการคาดการณ์การเติบโตของ GDP
- Focus นาทีที่ 04:16 เจอโรม พาวเวลล์พยายามสร้างความมั่นใจให้กับสาธารณะเกี่ยวกับการควบคุมเงินเฟ้อ
สรุป
CB Consumer Confidence หรือดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคคือตัวเลขที่วัดว่าผู้บริโภคมีความรู้สึกไปไหนทิศทางใดเกี่ยวกับเสรษฐกิจ มันเหมือนเป็นแบบสอบถามที่ชี้วัดว่าประชามีความพอใจในการที่จะจับจ่ายใช้สอยมากเพียงใด ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมาก มันมีผลกระทบต่อทุกๆ ภาพส่วน จนรัฐบาลหรือองค์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจต้องใช้ข้อมูลตรงนี้ไปวิเคราะห์เพื่อหานโยบายหรือทางแก้ไขเลยทีเดียว
ในทางเดียวกันตัวเลขดัชนีนี้ก็สำคัญกับนักลงทุนด้วยเพราะเป็นสามารถบ่องบอกแนวโน้มของเศรษฐกิจและการถือครองสินทรัพย์ต่างๆ ได้ การมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะเป็นประโยชน์ต่อจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในทุกระดับ