กลยุทธ์การเทรด Forex หรือสไตล์ในการทำกำไรของเทรดเดอร์นั้นมันมีมากมายในโลกของ Forex แต่เท่าที่สังเกตมาส่วนมากจะรู้จัก Scalping, Swing Trade พวกนี้มากกว่า น้อยคนมากจะรู้จักกับ “Carry Trade” ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้กับการเทรดสไตล์นี้มากยิ่งขึ้นครับ
Highlight บทคัดย่อ
- Carry Trade คือกลยุทธ์ที่เน้นทำกำไรสองทางคือ 1) จากค่า Swap ที่เป็นบวกจากการถือสถานะข้ามคืนในคู่เงินที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย 2) จากกำไรเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้
- ปัจจัยในการเลือกคู่เงินเพื่อในการ Carry Trade คือ
-
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
- การเลือกสกุลเงินรอง
- คุณภาพของโบรกเกอร์ Forex
- ข้อดีของการ Carry Trade คือสร้างรายได้ 2 ทาง, ไม่ต้องเทรดบ่อย, ทำกำไรระยะยาวและผลตอบแทนคุ้มค่า(ถ้าถูกทาง)
- ส่วนข้อเสียคือค่าเงินอาจผันผวนไปผิดทาง, ใช้ระยะเวลานานถือครอง, ค่า Swap อาจจะเปลี่ยนได้และใช้เงินทุนค่อนข้างเยอะ
Carry Trade คืออะไร?
- Carry Trade คือสไตล์การเทรดรูปแบบหนึ่งที่เน้นในการสร้างกำไร 2 ทาง แต่ไม่ใช่ 2 ทางแบบ Buy/Sell นะครับ แต่คือ…
-
- กำไรจากค่า Swap ในแต่ละวัน
- กำไรจากการเทรดถูกทาง
- คือโดยทั่วไปการเทรด Forex จะมีค่า Swap หรือที่เรียกกันว่า Rollover Interest คือดอกเบี้ยที่จะได้รับหรือต้องจ่ายสำหรับการถือสถานะข้ามคืน (overnight)
- ค่า Swap นี้เราสามารถดูได้ในแพลตฟอร์มการเทรดได้เลยครับ โดยตาราง Swap จะมี 2 ฝั่งคือ Long / Short ถ้าค่า Swap ฝั่งไหนเป็นบวกก็หมายความว่าเปิดฝั่งนั้นข้ามคืนจะได้ดอกเบี้ยตามอัตรานั้นเลย แต่ถ้าเป็นลบก็คือเราต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์
- ดังนั้น การเทรดแบบ Carry Trade ก็จะเน้นการถือสถานะระยะยาวหลายวันขึ้นไป โดยเน้นไปที่ค่า Swap ฝั่งไหนเป็นบวก ก็จะเล็งเข้าออเดอร์ฝั่งนั้นที่ระดับแนวรับ/แนวต้าน หรือ Demand/Supply Zone

การเลือกคู่เงินสำหรับ Carry Trade
การจะเลือกเทรดคู่เงินแบบ Carry Trade เราต้องรอบคอบในการเลือกและควรจะหาข้อมูลพวกปัจจัยพื้นฐานของคู่สกุลเงินที่เราสนใจเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและลดความเสี่ยงจากความผันผวน ดังนี้ครับ
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
- ขอยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจง่ายๆ เลยนะครับ เช่น คู่เงิน GBPJPY สมมติว่า GBP มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 4.25% ต่อปี และ JPY มีดอกเบี้ย 0.5% ดังนั้นส่วนต่างของคู่เงิน GBPJPY จึงเป็น 4.25-0.5 = 3.75% ต่อปี
- หากเรา Long GBP/JPY (ซื้อ GBP และขาย JPY) = กำลังถือสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า (GBP) และขายสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า (JPY) ค่า Swap สำหรับฝั่ง Long มักจะเป็นค่าบวก
- แต่หากเรา Short GBP/JPY (ขาย GBP และซื้อ JPY) = กำลังขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า (GBP) และถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า (JPY) ค่า Swap สำหรับฝั่ง Short มักจะเป็นค่าลบ
- ส่วนข้อมูลเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินสามารถหาได้จาก Forex Factory หรือ Investing.com ก็ได้ซึ่งค่า Swap ก็มีสูตรการคำนวณโดยเอาส่วนต่างดอกเบี้ยมาคำนวณด้วยนั่นเอง

การเลือกคู่เงินรอง (Minor Pairs)
- การดูปัจจัยที่นโยบายของประเทศสกุลเงินนั้นถือเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ เพราะนโยบายเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยของประเทศนั้น จะส่งผลต่อ Carry Trade แน่นอน
- ตัวอย่าง คู่เงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY มักจะมีสภาพคล่องสูงแต่ค่า Swap กลับไม่สูงมากนัก
- ผิดกับ คู่เงินรอง เช่น AUD/JPY, NZD/JPY, GBP/JPY ก็มีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการทำ Carry Trade และมักจะมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจกว่า
การเลือกโบรกเกอร์ Forex
- คุณภาพของโบรกเกอร์ Forex มีผลกระทบต่อค่า Swap เหมือนกันนะครับเพราะโบรกเกอร์คุณภาพสูง มักจะมีแนวโน้มที่จะเสนอค่า Swap ที่ดีกว่าหรือยุติธรรมกว่าให้แก่เทรดเดอร์ แต่ไม่ใช่ทุกโบรกเกอร์จะมีค่า swap ที่เป็นบวกนะครับ อย่าเข้าใจผิดเพราะมันมีค่าธรรมเนียมภายในอีก ต้องเช็คของแต่ละโบรกเกอร์ให้ดี
- ทั้งเรื่องของความโปร่งใสในค่า Swap, การเข้าถึงสภาพคล่อง, การเสนอค่า Swap ที่คงที่และแข่งขันได้ ปัจจัยพวกนี้จำเป็นต้องใช้ โบรกเกอร์ที่ดีที่สุด เท่านั้น
- กลับกันโบรกเกอร์คุณภาพต่ำอาจไม่มีความโปร่งใสในการกำหนดค่า Swap และอาจมีการปรับเปลี่ยนค่า Swap อย่างไม่เป็นธรรมแก่เทรดเดอร์

ตัวอย่างทำกำไร Carry Trade

- จากรูปภาพเราเลือกคู่เงิน AUDJPY บน Timeframe Day ตามคุณสมบัติที่ได้กล่าวไปข้างต้นและเลือกใช้ โบรกเกอร์ XM ค่า Swap Long ของ AUDJPY = 4.59 USD/lot และทำการเทรดด้วยจำนวน 1 lot size (*โดยสมมุติว่า ค่า swap และ pip value คงที่ตลอด ซึ่งในโลกการเทรดจริง ค่าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด)
- เมื่อเราดูค่า Swap แล้วก็เลือกเล่นฝั่ง Long เพื่อให้ได้ กำไรจาก Swap และต้องหาจุดเข้าเทรดที่มีแนวโน้มชนะ เพื่อที่กำไรจะได้มาจาก 2 ทาง คือ กำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาและกำไรจากค่า Swap
- จากรูปจะเห็นว่าตรงกรอบสี่เหลี่ยมแนวนอนคือบริเวณแนวรับที่สำคัญ ที่ราคาไม่สามารถทะลุลงไปได้ ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจในการเปิด Long จากจุดนี้
- สมมุติว่าเราเปิดสถานะ Long จากจุดนี้จริงและถือสถานะยาว ๆ ปล่อยให้ราคาขยับตามตลาด โดยวัดจากจุดสูงสุดที่ราคาทะลุขึ้นไปนั้น ใช้เวลา 472 วัน มีระยะการเคลื่อนที่รวมทั้งสิ้น 2,037.4 pips ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เราจะได้กำไรจากการเทรดที่ถูกทางประมาณ 16,931 USD (วิธีคิด: 2,037.4 pips × 8.31 ซึ่ง 8.31 คือค่า pip value ของ AUDJPY 1 lot แปลงเป็น USD) และกำไรจากค่า Swap ประมาณ 2,166 USD (วิธีคิด: 4.59 USD/วัน × 472 วัน)
- เมื่อรวมกำไรทั้งสองส่วนนี้แล้ว กำไรโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 622,466 กว่าบาท ในระยะเวลา 1.3 ปี หรือประมาณเดือนละเกือบ 4 หมื่นบาท ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าที่น่าพอใจสำหรับระยะเวลาที่ถือสถานะยาว
ข้อดี-ข้อเสียของการ Carry Trade
เรามาดูกันบ้างว่าการใช้กลยุทธ์ Carry Trade นั้นเหมือนมีแต่ข้อดี ส่วนข้อเสียและข้อจำกัดมันมีอะไรบ้าง? ที่เราควรรู้ก่อนจะเริ่มลองเทรดด้วยกลยุทธ์นี้
ข้อดี
- โอกาสในการสร้างรายได้ 2 ทาง: ทางแรกคือสร้างกำไรจากการเทรดปกติ เช่นถ้าเราเทรดฝั่ง Long กราฟราคาพุ่งขึ้น โอเคเราได้กำไรส่วนนี้มา อีกส่วนคือค่า Swap ฝั่ง Long ตามที่โบรกเกอร์กำหนดก็จะได้ตามเรทนั้นต่อวัน
- ไม่ต้องเทรดบ่อย: ด้วยความที่กลยุทธ์นี้เน้นการถือครองสถานะข้ามวัน เทรดเดอร์จึงไม่จำเป็นต้องเข้าเทรดบ่อยหรือปิดออเดอร์ซ้ำๆ
- ลงทุนระยะยาว: Carry Trade เน้นไปที่การลงทุนระยะยาวจากกราฟราคาและค่า Swap รายวัน ดังนั้นจึงเหมาะกับเทรดเดอร์ที่สามารถอดทนรอผลตอบแทนได้
- ผลตอบแทนคุ้มค่า: กรณีที่ยกตัวอย่างไป หากเราเข้าออเดอร์ที่ระดับราคาที่ดี ผลลัพธ์แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานแต่สุดท้ายมันก็คุ้มค่าถ้าได้ตามที่ตัวอย่างคำนวณ
ข้อเสีย
- ราคาไปผิดทาง: ขึ้นชื่อว่าเทรด Forex ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน ถึงแม้ว่าเราจะเข้าเทรดในโซนหรือแนวที่คิดว่าแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ความผันผวนในตลาดอาจจะทำให้ราคาไปผิดทางได้ นั่นก็เท่ากับขาดทุนเลยนะ
- ถือครองนานมาก: มันก็เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับการถือครอง Position นานๆ ใครที่อดทนรอได้ก็อาจจะคุ้มค่า แต่มันก็สร้างความกังวลและเสียโอกาสไม่น้อย หากกราฟไปผิดทาง
- ค่า Swap อาจจะเปลี่ยน: เมื่ออัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางของสกุลเงินนั้นเปลี่ยน การคำนวณค่า Swap ก็ต้องคำนวณใหม่ซึ่งอาจจะลดลง ไหนจะค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์คิดเพิ่มขึ้นมาอีก
- เงินทุนต้องหนา: การจะ Carry Trade ให้คุ้มค่านั้น จำนวนเงินทุนต้องมีเยอะกว่าเทรดแบบระยะสั้น เพราะการถือครองที่คุ้มค่าต้องการการเปิดสถานะที่ค่อนข้างใหญ่และอดทนให้กราฟลากได้ถ้ากรณีผิดทาง
วิดีโอเกี่ยวกับ Carry Trade
เพื่อให้เข้าใจและมองเห็นภาพมากขึ้น ผมเลยไปค้นหาวิดีโอเกี่ยวกับ Carry Trade มาแชร์ให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับชมกันครับ โดยเทรดเดอร์ในคลิปนี้อ้างว่าเขาได้รับเงินแทบจะทุกวัน! จากกลยุทธ์ Carry Trade นี้
- Focus นาทีที่ 01:30 อธิบายกลยุทธ์ Carry Trade
- Focus นาทีที่ 01:58 ตัวอย่างคู่เงินสำหรับ Carry Trade (CAD/JPY, EUR/USD, EUR/NZD)
- Focus นาทีที่ 05:41 ข้อควรพิจารณา
สรุป
กลยุทธ์ Carry Trade จัดว่าเป็นกลยุทธ์ Forex ที่เน้นความรู้ด้านพื้นฐานของสกุลเงินมากกว่าแบบเทคนิค การที่เราเข้าใจพื้นฐานของสกุลเงินและการเลือกโบรกเกอร์ที่ให้ค่า Swap อย่างเป็นธรรม ใครจะไปเชื่อล่ะว่ามันจะกลายเป็น Passive Income อีกทางหนึ่งนอกเหนือจากการเทรด Forex แบบปกติ
ดังนั้นสรุปแล้วกลยุทธ์ Carry Trade ดีไหม? ถ้าต้องการเทรดแบบไม่เสียโอกาสในแต่ละวันหรือช่วงข่าวสำคัญผมมองว่าไม่ดีครับ! แต่ถ้าต้องการเทรดแบบระยะยาว(มากๆๆๆ) และต้องการรายได้จากค่า Swap ด้วยก็แนะนำให้ทำได้ครับ
ทีมงาน : thaiforexbroker.com