เมื่อพูดถึงการเทรดแบบสั้นๆ หลายคนต้องนึกถึงการเทรดแบบ Scalping แน่นอน และสำหรับเทรดเดอร์สายเทรดสั้น บทความนี้เหมาะกับคุณอย่างมากเพราะเรากำลังจะพูดถึง “Scalping Line” หรือการหาแนวรับ/แนวต้านแบบชั่วคราว มันมีหลักการที่น่าสนใจยังไงลองติดตามดูเลยครับ
Highlight บทคัดย่อ
- Scalping Line คือแนวรับ-แนวต้านชั่วคราวที่ใช้ในการเทรดแบบ Scalping จะแตกต่างจากแนวรับ-แนวต้านปกติที่ไม่จำเป็นต้องมีการแตะหลายครั้ง แค่เกิดการเด้งกลับ 1 ครั้งก็จะนับเป็นเส้น Scalping Line
- การพิจารณาจุดที่จะเป็น Scalping Line ต้องดู 3 ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ เทรนด์ก่อนหน้า, แท่งเทียนต่ำสุด/สูงสุด, จุดกลับเทรนด์
- การวาดเส้น Scalping Line ทำได้ง่ายมี 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ V-Shape –สัญญาณแข็งแกร่งที่สุด, U-Shape –รองจาก V-Shape, L-Shape -สัญญาณอ่อนที่สุด
- กลยุทธ์นี้มีข้อดีคือเข้าใจและใช้งานง่าย, ให้สัญญาณเข้าเทรดที่ชัดเจน, มีโอกาสเทรดบ่อย แต่ก็มีข้อเสียคือบางรูปแบบให้สัญญาณที่อ่อนแอ, ต้องใช้การดูโมเมนตัมประกอบและส่วนใหญ่เส้นจะใช้ได้เพียงครั้งเดียว
Scalping Line คืออะไร?
- หลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่า Scalping เป็นวิธี/กลยุทธ์การเทรดแบบสั้นๆ เปิด–ปิดออเดอร์ในระยะเวลาไม่เกินชั่วโมงแน่นอนและเน้นทำบ่อยๆ ในแต่ละวัน แน่นอนว่าส่วนมากจะใช้ Timeframe เล็กในการเทรด
- มันจึงเป็นที่มาของเทคนิค Scalping Line ที่เน้นการหาแนวรับ–แนวต้านชั่วคราว บนกราฟสั้น เช่น M1–M5
- หลักการคือกำหนดจุดเข้าออก (entry/exit) จากการที่ราคามาแตะเส้นนี้แล้วมีสัญญาณกลับตัว หรือ breakout แต่ไม่จำเป็นต้องมีการแตะหลายครั้งเหมือนแนวรับแนวต้านปกติ (แค่มีการแตะระดับนี้ 1-2 ครั้งก็นับว่าเป็นแนวรับ/ต้านแล้ว)

จุดไหนเป็น Scalp Line ดูยังไง?
การพิจารณาว่าจุดไหนจะเป็น Scalp Line ต้องดู 3 ส่วนประกอบสำคัญดังนี้ครับ
1. เทรนด์ก่อนหน้า
- คือทิศทางของราคาที่เกิดขึ้นก่อนจุดกลับตัว ควรดูแท่งเทียนอย่างน้อย 4 แท่ง ยิ่งเทรนด์ยาวและมีแท่งเทียนขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงสัญญาณการเกิด Scalping Line ที่ชัดเจนและแข็งแกร่ง
2. แท่งเทียนต่ำสุด/สูงสุด
- คือจุดที่ราคาลงไปต่ำที่สุดหรือขึ้นไปสูงสุดก่อนที่จะดีดตัวกลับ บอกไว้ก่อนว่าแท่งเทียนตรงจุดนี้จะเป็นรูปทรงใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น Pin Bar เสมอไป ขอให้เป็นจุดกลับตัวที่ชัดเจน
- เนื่องจากเป็นเส้นชั่วคราวการเกิดสัญญาณจึงรวดเร็ว แท่งเทียนที่บ่งบอกการกลับตัวอาจมีรูปแบบใดก็ได้ที่แสดงถึงการปฏิเสธราคาจากจุดนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าบางครั้งอาจจะไม่ใช่รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวอย่างที่เราเรียนๆ กันมา
3. จุดกลับเทรนด์
- คือช่วงที่ราคาพลิกกลับมาจากจุดต่ำสุด/สูงสุดแล้ว และนี่คือเฟสสุดท้ายที่ทำให้ Scalping Line หรือแนวรับ/แนวต้านชั่วคราวที่สมบูรณ์

การวาดเส้น Scalp Line
การวาดเส้น Scalp Line ทำได้ง่ายกว่าแนวรับแนวต้านทั่วไปเพราะเราแค่วาดเส้นตรงที่เกิดจากการดีดตัวของราคาออกจากจุดใดจุดหนึ่งแค่จุดเดียวก็นับแล้ว จากนั้นเมื่อราคาแตะเส้นเดิมนี้อีกครั้งก็พิจารณาเข้าเทรด แต่รูปทรงราคาในการดีดกลับนั้นมี 3 แบบครับ
1. V-Shape
- รูปตัว V อาจจะเป็นแบบหันลงหรือหันขึ้นก็ได้ เป็นรูปแบบที่ชัดเจนและแข็งแกร่งที่สุด เพราะตัว V มีการหักตัวกลับ = แสดงถึงการกลับตัวที่รุนแรงและมีนัยสำคัญ
2. U-Shape
- ตัว U อาจจะเป็นแบบหันลงหรือหันขึ้นก็ได้ ถือว่ามีความแรงน้อยกว่ารูปตัว V แต่ก็ยังถือเป็นเส้น Scalp Line ที่ดี แสดงถึงการดีดตัวที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรง
3. L-Shape
- รูปตัว L เป็นรูปแบบที่ ไม่ค่อยชัดเจนและให้สัญญาณที่อ่อนที่สุด การใช้รูปตัว L ต้องมีการดีดตัวจากเส้นเดียวกันอย่างน้อยสองครั้ง โดยจุดดีดตัวทั้งสองไม่ควรห่างกันมากนัก (ใช้เข้าเทรดยากที่สุด)

ตัวอย่างการเทรดด้วย Scalping Line
เรามาดูตัวอย่างการเข้าเทรดโดยใช้ Scalping Line กันครับ โดยจะแนะนำการใช้ V-Shape และ U-Shape เป็นหลักครับ เพราะ L–Shape แนะนำว่าข้ามไปดีกว่า
เทรด V-Shape

- อันดับแรกเราต้องระบุ Scalping Line ให้ได้ คือตั้งสังเกต..
- เทรนด์ก่อนหน้า = เห็นแท่งเทียนขาลง 4 แท่งติดกันตามรูปภาพ
- จุดต่ำสุด = เป็น Pin Bar ถือว่าสัญญาณกลับตัวโอเคอยู่
- จุดกลับเทรนด์ = ชัดเจนว่ากลับตัวขึ้นมา
- เมื่อระบุได้แล้วมันมีลักษณะเป็น V – Shape ถือว่าสัญญาณดีดตัวแบบชัดเจนรุนแรง จุดสังเกตเด่นๆ อีกอย่างของ V – Shape คือแท่งเทียนแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ขึ้น(เขียว) ลง(แดง) แสดงถึงการกลับตัวแบบชัดเจน
- จากนั้นเราก็ระบุ Scalping Line ตรงจุดนี้ และถ้าราคาลงมาแตะที่บริเวณนี้อีก ก็เข้าเทรดได้เลย กรณีนี้เราจะเล่น Buy เพราะ Scalping Line ของเราเป็น V แบบหัวลง = เด้งขึ้น
- ซึ่งผลลัพธ์ของการเทรดสั้นในครั้งนี้ก็ได้กำไรไปจากระดับ Scalping Line
เทรด U–Shape

- เหมือนเดิมเลยครับ เราจะระบุ Scalping Line กันก่อนซึ่งในครั้งนี้ เราระบุได้ว่ามันเป็น U –Shape แบบกลับหัว ซึ่งจะพิจารณาเล่นหน้า Sell เป็นหลักครับ
- เมื่อเราระบุ Scalping Line แนวรับ/ต้านชั่วคราวได้แล้ว ก็รอให้ราคามันมาแตะระดับนี้อีกครั้ง เพื่อเข้าเทรด
- เมื่อราคาวิ่งมาแตะ เราเข้าออเดอร์ Sell แล้ว อย่าลืมนะครับว่าเราเทรดแบบ Scalping อยู่ ถ้าได้กำไรแล้วก็รีบปิดได้เลย เพราะถ้าเราปล่อยไม่ยอมปิดออเดอร์ กราฟอาจจะพุ่งขึ้นสวนออเดอร์เรา จนขาดทุนได้ครับ
- อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องบอกคืออายุของ Scalping Line ถ้าราคามาแตะเส้นนี้แล้ว ไม่ควรนำมาพิจารณาซ้ำนะครับ ให้มองหา Scalping Line ใหม่ได้เลย แต่ถ้าราคายังไม่เคยมาตรงเส้นนี้สักทีก็พิจารณาดังนี้…
- โดยทั่วไปไม่เกิน 3 สัปดาห์ หากเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมาก (เช่น จุดสูงสุด/ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน)
วิดีโอเกี่ยวกับ Scalping
หาวิดีโอเกี่ยวกับ Scalping Line แบบเพียวๆ ยากมากครับ แต่มีวิดีโอตัวหนึ่ง แนะนำเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping ใน 1 นาที โดยเน้นการใช้อินดิเคเตอร์ “Happy Trails” ร่วมกับแนวคิดเรื่องแนวรับและแนวต้าน ซึ่งก็พอจะคล้ายกับเนื้อหาบทความอยู่ และน่าสนใจเช่นกันครับ
- Focus นาทีที่ 00:40 การระบุจุดปฏิเสธราคา
- Focus นาทีที่ 1.08 การใช้อินดิเคเตอร์ Happy Trails
- Focus นาทีที่ 01:20 การรอสัญญาณเข้าเทรด
- Focus นาทีที่ 02:25 การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit
- Focus นาทีที่ 03:31 ทบทวนโครงสร้างตลาด, แนวรับแนวต้าน
สรุป
การเทรด Scalping เราก็ได้รู้แล้วว่ามีกลยุทธ์ที่ลึกลงไปอีกการหาแนวรับ/ต้าน แบบชั่วคราวช่วยให้เทรดเดอร์จับจังหวะราคาสั้น ๆ ได้แม่นยำขึ้น จุดเด่นของกลยุทธ์นี้คือช่วยให้เข้า–ออกออเดอร์ไว ไม่ต้องรอเทรนด์ระยะยาวและเหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบหรือมีความผันผวนช่วงสั้นๆ
อยากให้เทรดเดอร์ลองเปิดกราฟจริง แล้วฝึกมองจุดที่ราคาหยุดบ่อยๆ หรือกลับตัวซ้ำๆ จากนั้นฝึกลากเส้นแบบ “Scalping” เพื่อดูว่าแนวนั้นยังมีผลกับราคาหรือไม่ การฝึกแบบนี้จะช่วยพัฒนาสัญชาตญาณในการเข้าเทรดแบบ Scalper ได้ดีครับ
ทีมงาน: thaiforexbroker.com