การเทรด Price Action แน่นอนว่าพื้นฐานของมันคือการสังเกตรูปแบบแท่งเทียนที่ส่งสัญญาณบางอย่าง เช่น Pin Bar แต่ถ้าอยากเทรด Price Action ให้เก่งขึ้น เราต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งมากกว่าแค่การจดจำรูปแบบแท่งเทียน เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถอ่านเกมของ “รายใหญ่” ในตลาดได้ และนี่คือ 5 เคล็ดลับในการเทรด Price Action แบบลึกยิ่งกว่าเดิม
Highlight บทคัดย่อ
- การเทรด Price Action ควรจะเข้าใจกลไกและเจตนาเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาด้วย ดังเช่น 5 เคล็ดลับนี้
- อ่าน บริบทรอบ Price Action เช่น การเกิดขึ้นใกล้บริเวณสำคัญหรือการเป็น Stop Hunt เป็นต้น
- ทำความเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของ Pin Bar ว่าเกิดจากการ “เข้าเทรด” หรือ การ “ปิดทำกำไร“
- เข้าใจวงจรของการเกิด Swing High/Swing Low
- การสังเกต Impulsive Move ที่รุนแรงและชัดเจนสวนเทรนด์หลัก คือสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่ามีแรงซื้อ/แรงขายจำนวนมากเข้ามาและพร้อมที่จะเปลี่ยนทิศทางตลาดอย่างแท้จริง
- แทนที่จะมองแนวรับ/แนวต้านเป็นเส้นเดียว ควรพิจารณาเป็น “โซน” (Zone) หรือพื้นที่แบบ Supply/Demand
1. อ่านบริบทรอบ Price Action
- อย่างที่บอกไปการเทรด Price Action ไม่ได้แค่ดูรูปแบบแท่งเทียนเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์+เข้าใจบริบทรอบๆ อย่างละเอียด
- หลักสำคัญในการอ่านบริบท
- ดูว่าเกิดขึ้นใกล้จุดสำคัญหรือไม่? เช่น บริเวณที่ราคากำลังเบรค High หรือ Low ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนมักเปิดเทรดตามเทรนด์
- ลองคิดว่าเป็นการล่า Stop (Stop Hunt) หรือไม่? เพื่อหลอกให้รายย่อยเปิดเทรดก่อนกลับตัวแรง
- ให้ความสำคัญกับ Impulsive Move เพราะมันคือแรงซื้อ/ขายที่มีพลังอย่างแท้จริงในตลาด
- จากตัวอย่างในรูปเกิด Pin Bar ขึ้นทั้ง 2 จุด ถ้านอกเหนือจากรูปแบบแท่งเทียน เราสามารถวิเคราะห์บริบทได้ว่า
- Pin Bar 1: เกิดหลังจากที่ราคาทำ Impulsive Move ขึ้นและย่อมาพักตัวบริเวณแนวรับ บริบทนี้ชี้ว่าเป็น Reversal ที่เชื่อถือได้เพราะราคากลับตัวตรงจุดที่เทรดเดอร์ตามเทรนด์เปิด Buy
- Pin Bar2: เมื่อดูจาก Pin Bar อย่างเดียวอาจคิดว่าเป็นสัญญาณ Sell แต่เมื่อมองบริบทจะเห็นว่า หางบาร์ (Wick) เป็นแค่การทดสอบ Supply ด้านบน รายใหญ่ใช้ในการเคลียร์ Sell Limit Orders ไม่ใช่กลับตัว

2. ทำความเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง Pin Bar
- Pin Bar คือ Price Action ส่งสัญญาณกลับตัวที่หลายคนรู้จักแน่นอนแต่ในความเป็นจริง Pin Bar อาจเกิดจากหลายสาเหตุเพราะหัวใจของ Pin Bar อยู่ที่หาง (Wick) ของมันครับ
- หางบาร์แสดงถึงแรงกดดันซื้อหรือขาย นี่แหละที่เราต้องแยกให้ออกว่า “แรงกดดัน” มาจากอะไร
-
- ถ้า Pin Bar เกิดจากการเข้าเทรด: มักจะเกิดที่จุด Confluence เช่น แนวรับ/แนวต้าน, Demand/Supply Zone อันนี้มีนัยยะสำคัญ ราคามีโอกาสกลับตัวจริง
- ถ้า Pin Bar เกิดจากการปิดทำกำไร: ประเภทนี้จะไม่ค่อยเกิดในบริเวณสำคัญหรือมักจะเกิดตามเทรนด์หลักสุดท้ายก็กลับไปเคลื่อนไหวตามเทรนด์เดิม

3. แยกแยะ Swing High/Swing Low
- การเทรดด้วย Price Action ไม่ได้มีแค่ Pin Bar เท่านั้นแต่ยังต้องดูบริบทของ Swing High และ Swing Low เป็นจุดสำคัญด้วย ต้องเข้าใจว่าจุดเหล่านี้เกิดจากอะไรและมีแรงเทรดอะไรอยู่เบื้องหลัง
- Swing High / Swing Low ไม่ได้บอกแค่ว่าราคาสูงสุดหรือต่ำสุดเท่านั้น แต่บอกว่าเกิดจากแรงเทรดของฝั่งใดและมีการกระจุกของออเดอร์ประเภทไหน
- ตัวอย่าง กรณี Swing High
- รายใหญ่ “เปิด Buy” มาก่อนหน้านั้นในราคาที่ต่ำกว่าและราคาถูกดันขึ้นจากแรง Buy
- เมื่อราคาไปถึงระดับที่มีเทรดเดอร์รายย่อยเปิด Buy ตามเทรนด์เยอะๆ = เกิด Buy Orders จำนวนมาก
- รายใหญ่ปิดออเดอร์ Buy ที่ราคาสูงต้องใช้ Buy Orders ของรายย่อยมาจับคู่การปิดออเดอร์นั้น ซึ่งได้รับการสะสมมาสักพักแล้ว
- มันจะต่อเนื่องเข้าสู่ Swing Low
- หลังจากเกิด Swing High ราคาจะลงเพราะขาใหญ่ขายทำกำไรเสร็จ รายย่อยบางคนที่เป็น Trapped Trader เริ่มติดดอยและ Stop Loss
- จากที่เคย Buy รายย่อยจะคิดว่าเทรนด์เปลี่ยนและเริ่มเทรด Sell กลายเป็น Sell Market Order เริ่มมีมากขึ้น
- ขาใหญ่รอจังหวะนี้เริ่มสะสมออเดอร์เพื่อเปิด Buy ใหม่อีกครั้ง เพราะมี Sell Orders จากรายย่อยมารองรับแล้ว จากนั้นราคาก็ดีดกลับขึ้น วนลูปต่อไป
- ทั้งหมดที่กล่าวไปใครอ่านออเดอร์ตรงนี้ออกก่อนจะเข้าเทรดได้แม่นยำกว่าคนส่วนใหญ่! และรายย่อยที่เทรดตามรายใหญ่ได้กำไรเยอะกว่าเทรดสวน

4. Impulsive Move สวนเทรนด์ = สัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์
- เทรดเดอร์สาย Price Action ส่วนใหญ่พยายามจะจับให้ได้ว่า เทรนด์จะเปลี่ยนเมื่อไรและตรงไหน โดยจะนิยมสังเกต…
- แนวรับแนวต้านเดิม (Support/Resistance)
- โซน Supply/Demand
- รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar หรือ Engulfing Bar
- แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่มักจะมองข้ามไปคือ “Impulsive Move” สวนเทรนด์ มันก็คือการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและชัดเจนไปในทิศทางสวนเทรนด์หลัก แท่งเทียนจะยาวและแข็งแรงต่อเนื่องกันหลายแท่ง
- แรง Impulsive Move สวนเทรนด์จะน่าเชื่อถือมากขึ้น ถ้าเกิดหลังจากที่ราคาวิ่งไปในเทรนด์ใดเทรนด์หนึ่งมาเป็นระยะเวลานานเพราะมันกำลังบอกว่ามีแรงซื้อ/แรงขายจำนวนมากเข้ามาและพร้อมที่จะเปลี่ยนเทรนด์ตลาดอย่างแท้จริงแล้ว

5. มองหาโซนราคา
- สุดท้ายการอ่าน Price Action อย่ามองแนวรับ/แนวต้าน (Support/Resistance) เป็นระดับเส้นเดียวเป๊ะๆ แต่ให้มองเป็นพื้นที่หรือโซนแบบ Supply/Demand แทน เพราะ…
- ออเดอร์ซื้อขายจำนวนมากมักจะกระจุกตัวอยู่ในบริเวณราคาหนึ่งๆ ไม่ใช่แค่ราคาเดียวเป๊ะๆ
- การเข้าเทรด (Entry) จะยืดหยุ่นกว่ามองเป็นราคาแบบจุดเดียวและลดโอกาสที่จะถูก Stop Hunt โดยไม่จำเป็น หากราคาทะลุเส้นแนวรับ/แนวต้านไปเพียงเล็กน้อยแล้วกลับตัว
- อีกอย่างคือมันสะท้อนพฤติกรรมของตลาดจริงได้ดีกว่า เพราะรายใหญ่มักจะสะสมออเดอร์ในพื้นที่ไม่ใช่แค่ จุดใดจุดหนึ่ง
วิดีโอเกี่ยวกับ Price Action: Impulsive Move
ในบทความยังไม่ได้อธิบาย Impulsive Move แบบเห็นภาพ หรือมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน วิดีโอนี้จึงจะอธิบายถึงวิธีการอ่าน Price Action โดยเน้นที่การเคลื่อนไหวแบบ Impulsive และ Corrective ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ Order Flow ในตลาดครับ
- Focus นาทีที่ 00:59 ลักษณะเฉพาะแบบ Impulsive
- Focus นาทีที่ 02:32 สีของแท่งเทียนที่เหมือนกันแสดงถึงแรงซื้อหรือแรงขายมีอยู่ต่อเนื่อง
- Focus นาทีที่ 03:14 ราคาปิดของแท่งเทียนแบบ Impulsive
- Focus นาทีที่ 06:03 ขนาดแท่งเทียนแบบ Corrective
- Focus นาทีที่ 06:42 แนวโน้มการเคลื่อนที่แบบ Corrective
สรุป
การอ่าน Price Action แบบเจาะลึกจริงๆ จะเห็นว่า รูปแบบกราฟแท่งเทียนเป็นเพียงทางลัดที่เทรดเดอร์หลายคนใช้เพื่อวิเคราะห์+คาดการณ์แบบรวดเร็ว แต่ถ้าเจาะลึกความเข้าใจและเบื้องหลังของ Price Action ทั้งหมด น้อยคนนักจะเข้าใจสาเหตุของมันและนี่คือจุดได้เปรียบของคนที่รู้ก่อน
ดังนั้น Price Action หากเทรดเดอร์มีเวลา ก็ควรจะศึกษาอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้เข้าวิถีตลาดและพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดมากยิ่งขึ้น หรือง่ายๆ เลย ติดตามอ่านบทความของเรา Thai Forexbroker ก็ได้ครับ
ทีมงาน : thaiforexbroker.com