มือใหม่ต้องรู้! กราฟแท่งเทียน คืออะไร?

เบสิคพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งที่เทรดเดอร์ Forex ทุกคนต้องเข้าใจก็คือ “กราฟแท่งเทียน” เพราะมันเป็นพื้นฐานในการเทรดแบบ Price Action และมันจะต่อยอดไปหาแพทเทิร์นต่างๆ ได้อีกมากมาย แต่เราต้องเข้าใจความหมายและรายละเอียดในตัวแท่งเทียนก่อน ซึ่งในบทความนี้พร้อมเสิร์ฟให้แล้วครับ


Highlight บทคัดย่อ

  • กราฟราคาหลักๆ มี 3 ประเภท ได้แก่
    1. กราฟเส้น (Line Chart) ที่แสดงเพียงราคาปิด เหมาะกับการดูแนวโน้มภาพรวมแต่ขาดรายละเอียด
    2. กราฟบาร์ (Bar Chart) ที่แสดงข้อมูล Open, High, Low, Close ครบถ้วนแต่หน้าตาอาจเข้าใจยาก
    3. กราฟแท่งเทียน (Candle Chart) เป็นที่นิยมที่สุดเพราะแสดงข้อมูลครบถ้วนและสื่อถึงจิตวิทยาตลาดได้ชัดเจน เหมาะกับเทรด Price Action
  • ส่วนประกอบของแท่งเทียนแต่ละแท่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือตัวแท่งเทียนและไส้เทียน ซึ่งในนั้นมีข้อมูล 4 อย่างที่สำคัญ คือ
    • ราคาเปิด (Open) ที่จุดเริ่มต้นช่วงเวลา / ราคาปิด (Close) ที่จุดสิ้นสุด (สำคัญที่สุด)
    • ราคาสูงสุด (High) / ราคาต่ำสุด (Low) ที่ราคาเคยไปถึง
  • การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนเบื้องต้นจะวิเคราะห์ขนาดของแท่งเทียน, ขนาดของไส้เทียน ซึ่งจะสะท้อนออกมา 3 รูปแบบ
    1. แท่งเทียนแข็งแกร่ง: ตัวเทียนยาว ไส้สั้น
    2. แท่งเทียนปฏิเสธราคา/กลับตัว: ไส้ยาว ตัวแท่งเทียนสั้น
    3. แท่งเทียนไม่แน่ใจ: ตัวเทียนแทบมองไม่เห็น

กราฟ Forex มีกี่แบบ? อะไรบ้าง?

ถ้าเราเทรด Forex เราจะเห็นกราฟราคาบนหน้าจอแพลตฟอร์มเทรดของเรา จะบอกว่ามันกราฟราคาหลักๆ อยู่ 3 ประเภท แต่ละแบบก็มีข้อดี-ข้อเสียของมัน แต่จะมี 1 ประเภทที่คนนิยมที่สุด ไปดูกันครับว่าคือประเภทไหน

1. กราฟเส้น (Line Chart)

  • กราฟเส้นคือกราฟราคาที่ลากเป็นเส้นเชื่อมต่อกัน จุดที่เชื่อมกันก็คือราคาปิดของแต่ละช่วง ตาม Time Frame ที่เราเลือกดู
  • ส่วนมากแล้วเทรดเดอร์ไม่ค่อยนิยมใช้กราฟนี้เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกหรืออ่าน Price Action เพราะมันไม่มีข้อมูลให้ดู แต่ถ้าใช้ดูแนวโน้มแบบกว้างๆ ก็สามารถทำได้
  • ข้อดีของกราฟเส้น
    • อ่านง่าย เข้าใจง่าย ดูเทรนด์แบบภาพรวมได้
    • เหมาะสำหรับการมองแนวโน้มระยะยาว เทรดแบบระยะยาวมากๆ
  • ข้อเสียของกราฟเส้น
    • ไม่มีรายละเอียดราคาสูง-ต่ำ หรือราคาเปิด เพราะแสดงแค่ราคาปิด
    • ใช้วิเคราะห์ Price Action หรือรูปแบบแท่งเทียนไม่ได้
    • ขาดข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจเข้าออเดอร์ในแต่ละครั้ง
ข้อดีข้อเสียของกราฟเส้น (Line Chart)
ข้อดีและข้อเสียแบบหลักๆ ของกราฟเส้น (Line Chart) คือการเน้นความง่ายในการอ่านแนวโน้มภาพรวม แต่ขาดรายละเอียดเชิงลึกสำหรับการวิเคราะห์ Price Action

2. กราฟบาร์ (Bar Chart)

  • กราฟบาร์กับกราฟแท่งเทียนแสดงข้อมูลออกมาเหมือนกันเลยครับ แต่ต่างกันที่หน้าตาของกราฟเท่านั้น โดยกราฟบาร์จะแสดง ราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High), และราคาต่ำสุด (Low)
  • รายละเอียดทั้ง 4 ตัวที่กล่าวไป มันเพียงพอต่อการวิเคราะห์ Price Action แล้ว แต่ทำไมกราฟบาร์ถึงไม่เป็นที่นิยมอีก นั่นก็เพราะหน้าตามันดูยากสุดๆ เลยครับ เมื่อเทียบกับกราฟแท่งเทียน
  • ข้อดีของกราฟบาร์
    • แสดงข้อมูลครบทั้ง Open, Close, High, Low
    • กราฟบาร์ถือว่าเริ่มใช้วิเคราะห์ Price Action ได้ แต่จะเจาะจงรูปแบบไม่ได้ เช่น Hammer
  • ข้อเสียของกราฟบาร์
    • สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ถือว่าอ่านและทำความเข้าใจยากมาก
    • หน้าตาและรูปแบบต้องใช้ความเข้าใจเยอะกว่ากราฟแบบอื่นๆ
    • ไม่ได้สื่ออารมณ์หรือจิตวิทยาตลาดได้ชัดเจนเท่ากราฟแท่งเทียน
ข้อดีข้อเสียของกราฟบาร์ (Bar Chart)
กราฟบาร์มีข้อดีตรงที่ให้ข้อมูลครบถ้วนและใช้ได้กับการวิเคราะห์ Price Action แต่ข้อเสียก็คือมันดูและทำความเข้าใจได้ค่อนข้างยากสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

3. กราฟแท่งเทียน (Candle Chart)

  • กราฟแท่งเทียนเป็นกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่เทรดเดอร์ Forex และตลาดการเงินอื่นๆ เพราะมันแสดงข้อมูลราคาแบบครบถ้วนทั้งราคา Open, High, Low, Close
  • กราฟแท่งเทียนยังสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมราคาผ่านรูปแบบแท่งเทียนได้ด้วย เช่น เช่น Pin Bar, Engulfing เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด Price Action
  • ข้อดีของกราฟแท่งเทียน
    • นิยมใช้ในการเทรด Price Action และสามารถใช้เทรดกราฟเปล่าได้ด้วย
    • ใช้วิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนเพื่อหาสัญญาณเข้าออกได้
    • กราฟแท่งเทียนสามารถบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายได้อย่างลึกซึ้ง
  • ข้อเสียของกราฟแท่งเทียน
    • ต้องใช้เวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจความหมายเชิงลึก
    • เกิดสัญญาณหลอกได้บ่อย หากใช้บน Timeframe เล็ก
 ข้อดีข้อเสียของกราฟแท่งเทียน (Candle Chart)
กราฟแท่งเทียนมีข้อดีตรงที่ให้ข้อมูลเชิงลึกของแรงซื้อ/ขายและใช้ได้ดีกับการวิเคราะห์ Price Action แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องสัญญาณหลอกหากใช้บน TF เล็ก

ส่วนประกอบของแท่งเทียน 1 แท่ง มีอะไรบ้าง?

  • ส่วนประกอบของแท่งเทียน 1 แท่ง มีอยู่ 2 ส่วนหลักๆ คือ ตัวแท่งเทียนและไส้เทียน(Wick) แต่ในแท่งเทียนมันมีข้อมูลอยู่ในนั้น 4 ส่วนด้วยกันคือ
    1. ราคาเปิด (Open): คือราคาที่ตลาดเริ่มต้นในช่วงเวลานั้น เช่น ถ้าเป็นแท่ง 1 ชั่วโมง ราคาเปิดก็คือราคาตอนต้นชั่วโมง
    2. ราคาปิด (Close): คือราคาที่ตลาดปิดในช่วงเวลานั้น ราคาปิดถือเป็นราคาที่สำคัญที่สุดเพราะแสดงถึงผลลัพธ์ของแรงซื้อขายในช่วงนั้น
    3. ราคาสูงสุด (High): ระดับที่ราคาเคยไปแตะสูงที่สุดในช่วงเวลานั้น สะท้อนถึงแรงซื้อที่เคยผลักราคาได้ไกลแค่ไหน
    4. ราคาต่ำสุด (Low): ระดับราคาที่เคยลงไปต่ำที่สุดในช่วงเวลานั้น แสดงถึงแรงขายที่เคยกดราคาลงได้ลึกแค่ไหน
  • ขออธิบายเพิ่มตรงส่วนของตัวแท่งเทียน = พื้นที่ระหว่างราคาเปิดกับราคาปิดนั่นเอง
    • ถ้าราคาปิด > ราคาเปิด = ราคาขึ้น
    • ถ้าราคาปิด < ราคาเปิด = ราคาลง
  • ส่วนไส้เทียนคือเส้นบางๆ ด้านบน-ล่างของตัวแท่งเทียน เอาไว้แสดงระดับ High-Low ของราคา
ส่วนประกอบของกราฟแท่งเทียน
ส่วนประกอบสำคัญของแท่งเทียนโดยแบ่งเป็น 2 แท่ง (แท่งขึ้น/ลง) สีเขียวหมายถึง ราคาปิด > ราคาเปิด (แท่งขึ้น) ส่วนสีแดง = ราคาเปิด > ราคาปิด (แท่งลง) โดยทั้ง 2 แบบอ่านค่ามีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด เหมือนกันคือไส้เทียนที่เคยไปถึง

ตัวอย่างการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนเบื้องต้น

การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนเบื้องต้นก็เหมือนการทำความเข้าใจ “เรื่องราว” ที่ตลาดกำลังบอกเราผ่านรูปทรง สี และตำแหน่งของแท่งเทียน ในบทความนี้จะเน้นตีความแท่งเทียนเพียวๆ ไม่เอาอินดิเคเตอร์มาเกี่ยวข้อง

หลักการพื้นฐานที่ต้องเข้าใจ

  1. สีของแท่งเทียน: ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แสดงว่าแรงซื้อมีมากกว่าแรงขายในกรอบเวลานั้นๆ ส่วนใหญ่แท่งเทียนจะมีสีเขียว กลับกันถ้าแรงขายมากกว่า ส่วนใหญ่แท่งเทียนจะเป็นสีแดง
  2. ขนาดของลำตัวเทียน: ถ้าขนาดแท่งเทียนยาวแสดงถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งในทิศทางนั้น (ขึ้น/ลง) แต่ถ้าแท่งเทียนมีขนาดสั้นมักจะแสดงถึงความไม่แน่ใจ แรงซื้อแรงขายพอๆ กัน
  3. ความยาวของไส้เทียน: ถ้าไส้เทียนยาวขึ้นไปด้านบนแสดงว่าราคามีการดันขึ้นไปสูงแต่ถูกแรงขายกดลงมา แต่ถ้าไส้เทียนยาวลงด้านล่างแสดงว่าราคามีการดันลงไปต่ำแต่ถูกแรงซื้อดันกลับขึ้นมา

ประเภทของแท่งเทียน

  1. แท่งเทียนแข็งแกร่ง
    • ลักษณะ: ลำตัวเทียนใหญ่และไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย
    • แท่งประเภทนี้ มักใช้เป็นสัญญาณยืนยันการ breakout หรือการไปต่อของแนวโน้มในทิศทางนั้นๆ เพราะบ่งบอกว่าแรงที่มาทางฝั่งนั้นยังมีเยอะมาก
  1. แท่งเทียนปฏิเสธราคา / กลับตัว
    • ลักษณะ: มีไส้เทียนยาวมากๆ ด้านใดด้านหนึ่งและลำตัวเทียนเล็กๆ
    • แท่งประเภทนี้เป็นสัญญาณในการเข้าเทรดสวนเทรนด์หรือการกลับตัว เพราะบ่งบอกถึงระดับราคาที่เคยไปถึงแต่ถูกแรงฝั่งตรงข้ามดันกลับมา ควรรอแท่งยืนยัน (Confirmation Candle) ในกรอบเวลาถัดไป
  1. แท่งเทียนแบบไม่แน่ใจ
    • ลักษณะ: ลำตัวเทียนเล็กมาก ราคาเปิดกับราคาปิดแทบจะอยู่ที่เดิม และมักมีไส้เทียนทั้งบนและล่าง เทรดเดอร์มักจะคุ้นหูในชื่อ “DOJI”
    • แท่งแบบนี้แสดงถึงแรงซื้อและแรงขายต่อสู้กันอย่างสูสี ไม่มีฝ่ายใดชนะแบบขาดลอย โดยปกติแล้ว มักจะไม่เข้าเทรดเมื่อเห็นแท่ง Doji เดี่ยวๆ แต่ถ้า Doji เกิดขึ้นบริเวณแนวรับ/แนวต้านสำคัญ อาจบ่งบอกถึงการลังเลใจก่อนที่จะมีการกลับตัวหรือการเปลี่ยนแนวโน้มในเร็วๆ นี้
การวิเคราะห์ความหมายของแท่งเทียน 3 รูปแบบ
หากแบ่งกราฟแท่งเทียนตามเหตุผลทางพฤติกรรมตลาด ก็จะแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ แท่งเทียนแบบแข็งแกร่งจากแรงซื้อ/ขายที่มีมาก, แท่งเทียนแบบปฏิเสธราคาที่โดนกลับไปและแท่งเทียนแบบไม่แน่ใจบ่งบอกว่าตลาดสู้กันทั้ง 2 ฝั่งแบบสูสี

วิดีโอเกี่ยวกับกราฟแท่งเทียน

 

วิดีโอนี้สอน วิธีอ่านกราฟแท่งเทียน เพื่อทำความเข้าใจตลาดและตัดสินใจเทรดได้อย่างแม่นยำ โดยแบ่งกราฟแท่งเทียน ออกเป็น 3 ประเภทหลักและอธิบายความหมายของแต่ละประเภท รวมถึงวิธีการนำไปใช้ในการเทรดจริง ลองรับชมกันครับ!

  • Focus นาทีที่ 01:43 ประเภทของ Candlestick ทั้ง 3 ประเภท Strength Candles / Reversal Candles / Indecision Candles
  • Focus นาทีที่ 12:18 การนำ Candlestick ไปใช้ในบริบทของตลาดจริง
  • Focus นาทีที่ 15:42 การวิเคราะห์ Multicandle Momentum
  • Focus นาทีที่ 20:36 การยืนยันการกลับตัว

สรุป

กราฟแท่งเทียนเราไม่ได้ใช้ดูแค่ว่ามันขึ้นหรือลง แต่มันคือเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของราคาในแต่ละช่วงเวลา ทั้งแรงซื้อ แรงขาย ความลังเลหรือแม้แต่จุดกลับตัว หากเราเข้าใจแท่งเทียนอย่างแท้จริงก็จะสามารถตัดสินใจเทรดได้แม่นยำขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งอินดิเคเตอร์จำนวนมากให้สับสนเลยครับ

ดังนั้นไม่ว่าเราจะเทรด หุ้น, Forex หรือคริปโต เชื่อว่ายังไงก็หนีไม่พ้นกราฟแท่งเทียนเพราะมันเป็นภาษากลางของตลาดที่เทรดเดอร์ทั่วโลกใช้ร่วมกัน ควรฝึกวิเคราะห์ความหมายของมันจะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใจ “จังหวะตลาด” ได้ด้วยตาของคุณเองครับ

ทีมงาน: thaiforexbroker.com

สารบัญ