RSI Divergence บอกอะไร? เช็คสัญญาณกลับตัวก่อนเข้าเทรด

รอบนี้ถึงคราวของอินดิเคเตอร์ยอดฮิต เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยใช้หรือผ่านหูผ่านตามาอย่างแน่นอน นั่นก็คือ “RSI” แต่หลายาคนอาจจะยังไม่รู้วิธีดู+วิเคราะห์เต็มรูปแบบของมัน อย่ารอช้าเลยครับ เพราะในบทความนี้มีหลายเรื่องที่คุณควรจะต้องรู้เกี่ยวกับ RSI Divergence


Highlight บทคัดย่อ

  • RSI คืออินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดความแข็งแรงของโมเมนตัมราคา, บ่งบอกสภาวะ Overbought/Oversold และให้สัญญาณ Divergence
  • Divergence คือการขัดแย้งกันของกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ เป็นสัญญาณล่วงหน้าของการกลับตัว เนื่องจากบ่งบอกถึงการอ่อนแรงของโมเมนตัมที่ขับเคลื่อนแนวโน้มปัจจุบัน แม้ว่าราคายังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิม
  • RSI Divergence แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
    • Regular Divergence: บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม (Bullish: กราฟลง, RSI ขึ้น / Bearish: กราฟขึ้น, RSI ลง)
    • Hidden Divergence: บ่งชี้โอกาสที่ราคาจะไปต่อตามเทรนด์เดิม (มักเกิดช่วงราคาย่อตัว)
  • ส่วนการเข้าเทรดเมื่อเจอสัญญาณ Divergence ไม่ควรรีบเข้าเทรดทันที ควรรอสัญญาณอื่นๆ เสริม เช่น แท่งเทียนกลับตัว, ระดับ RSI ที่ปกติ(70-30) เป็นต้น

RSI คืออะไรในโลกของอินดิเคเตอร์

  • RSI หรือ Relative Strength Index เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความแข็งแรงของราคา” หรือ “แรงซื้อแรงขาย
  • RSI จัดว่าเป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ซึ่งอินดิเคเตอร์ประเภทนี้มักจะมีกรอบแยกต่างหากด้านล่างกราฟราคาหลัก เพื่อเอาไว้ดูขอบเขตและทำให้ง่ายต่อการตีความระดับต่างๆ ของมันครับ

RSI มันบอกอะไรเราบ้าง?

  1. ความแข็งแกร่งของโมเมนตัมราคา: RSI จะคำนวณจากอัตราส่วนของแรงซื้อ(ราคาขึ้น)และแรงขาย(ราคาลง) ในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้เราเห็นว่าราคาเคลื่อนไหวด้วยแรงซื้อหรือแรงขายมากน้อยแค่ไหน
  2. บ่งชี้สภาวะ Overbought และ Oversold: ค่าของ RSI จะอยู่ตั้งแต่ RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยทั่วไป ถ้าระดับ RSI สูงกว่า 70 จะถือว่าอยู่ในภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) แต่ถ้าต่ำกว่า 30 จะถือว่าอยู่ในภาวะ Oversold (ขายมากเกินไป) ทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสัญญาณการวิเคราะห์ต่อไปได้
  3. ให้สัญญาณ Divergence: ก็คือความขัดแย้งระหว่างทิศทางการเคลื่อนที่ของราคากับทิศทางการเคลื่อนที่ของอินดิเคเตอร์ Divergence ถือว่าเป็นสัญญาณหลักที่ต้องวิเคราะห์ว่าราคาจะกลับตัวหรือไปต่อ
RSI คืออินดิเคเตอร์ที่วัดแรงซื้อแรงขายและบอกสภาวะตลาด
RSI จัดว่าเป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่มีจดเด่นคือมีกราฟเฉพาะอย่ด้านล่างของกราฟราคาจริง เอาไว้ดระดับและรูปแบบกราฟเช่นเดียวกับกราฟราคาจริง ซึ่งมันสามารถบอกถึง สภาวะแรงซื้อ/แรงขายได้อย่างด รวมถึงสัญญาณ Divergence อีกด้วย

ทำไม Divergence ถึงเป็นสัญญาณ “ล่วงหน้า” ของการกลับตัว

  • อย่างที่บอกไปว่า RSI นั้นคำนวณจากอัตราส่วนระหว่างแรงซื้อและแรงขาย หากกราฟราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้น RSI แปบบปกติก็จะส่งสัญญาณด้วยกราฟที่ทำ Higher High เหมือนกันเพราะแรงซื้อมากกว่าแรงขาย
  • แต่ถ้าเกิด Divergence ขึ้น กราฟราคากับ RSI มันก็จะขัดกัน เช่น กราฟราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้นแต่กราฟ RSI กลับทำ Higher Low หรือเริ่มทำระดับต่ำลง อ่าวมันไม่ไปทางเดียวกันแล้ว!
  • สัญญาณ Divergence แบบนี้มันกำลังบอกถึงการอ่อนแรงของโมเมนตัมราคาที่กำลังขับเคลื่อนแนวโน้มปัจจุบัน แม้ว่าราคายังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิมอยู่ครับ ซึ่งมันสามารถเกิดได้ทั้งขาขึ้น+ขาลงเลยครับ
ตัวอย่างสัญญาณ Divergence ระหว่างกราฟราคาและ RSI
สัญญาณ Divergence มักจะมีสัญญาณบางอย่างแฝงอยู่เสมอ เช่น RSI Divergence = กำลังบ่งบอกว่ากราฟราคาท่ดเคลื่อนไหวตามแนวโน้มปกติ แต่กำลังมีแรงซื้อ/ขายที่กำลังอ่อนลงสวนทางกับแนวโน้มหลักและอาจเป็นสัญญาณกลับตัว

ประเภทของ RSI Divergence

ทีนี้เรามาดูกันบ้างว่า RSI Divergence มันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้อีกนะ ซึ่งทัง 2 มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้ครับ

1. Regular Divergence

  • ประเภทที่หนึ่งคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าราคามีโอกาสที่จะกลับตัว ซึ่งมันคือ Divergence แบบปกติ เมื่อเห็นสัญญาณอินดิเคเตอร์ขัดกับกราฟราคาย่อมบ่งบอกถึงโอกาสการกลับตัวอยู่แล้ว
  • ซึ่งก็แบ่งออกเป็น 2 แบบได้อีก คือ
    • Bullish Divergence: กราฟเป็น Trend ลง แต่ RSI เป็น Trend ขึ้น บ่งชี้ว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลงและมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้น
    • Bearish Divergence: อันนี้ก็ตรงกันข้ามเลย กราฟเป็น Trend ขึ้นแต่ RSI กลับลง หมายถึงแรงซื้อเริ่มอ่อนตัวลงและมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาลง

2. Hidden Divergence

  • Divergence ประเภทนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าราคามีโอกาสที่จะไปต่อตามเทรนด์เดิม ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเท่า Divergence แบบปกติครับ
  • ซึ่ง Divergence ประเภทนี้มักจะเกิดช่วงที่ราคาลงมาย่อตัว โดยปกติแล้วมักจะไม่ลงมาไม่ต่ำกว่า Low เดิม โมเมนตัมตามที่ RSI คำนวณได้ มันจึงลดลง นั่นเอง
  • การสังเกต Hidden Divergence ต้องใช้ความชำนาญมากกว่า Divergence แบบธรรมดาเนื่องจากลักษณะที่ไม่ชัดเจนเท่า แต่หากพบเจอในแนวโน้มที่แข็งแกร่งก็สามารถใช้เป็นสัญญาณในการเข้าเทรดตามแนวโน้มได้
ประเภทของ RSI Divergence แบบ Regular และ Hidden พร้อมทิศทางของกราฟ
เนื่องจาก Regular Divergence เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยกว่าและเป็นเรื่องปกติในฐานะสัญญาณเตือนถึงการอ่อนแรงของแนวโน้มปัจจุบันและอาจนำไปสู่การกลับตัวของราคา จึงทำให้ Hidden Divergence เป็นสภาวะที่ตรงกันข้ามและหาได้ยากกว่า

ตัวอย่างการเทรดโดยใช้ RSI Divergence

มาดูตัวอย่างการเทรดเบื้องต้นเมื่อเราเจอสัญญาณ RSI Divergence เราจะเข้าออเดอร์ยังไงดี โดยจะยกตัวอย่าง Divergence ทั้ง 2 ประเภทเลยครับ

Example 1: Regular Divergance

ตัวอย่างการเทรด Regular Divergence พร้อมจุดเข้า Buy
จากรูปตัวอย่างเกิด Divergence แบบ Bullish คือกราฟทำแนวลงแต่ RSI ทำแนวขึ้น เทรดเดอร์เตรียมพร้อมเข้าเทรด Buy บริเวณเหนือ High ล่าสุดจะชัวร์กว่าเพื่อรอราคายินยันว่ากลับตัวจริง
  • อันดับแรกเทรดเดอร์ต้องระบุ Divergence ให้ได้ สังเกตว่าในรูปภาพเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ก็คือกราฟราคาทำแนวโน้มลงแต่ RSI ทำแนวโน้มขึ้น (ดูลูกศร ทั้ง 2)
  • ระวัง! ถึงแม้จะเกิด Divergence แล้ว แต่เราไม่ควรรีบร้อนเข้าเทรด ควรรอสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมว่าแรงขายได้อ่อนตัวลงจริง เช่น
    • การเกิดแท่งเทียนที่ให้สัญญาณกลับตัว เช่น แท่งเทียน Hammer, Bullish Engulfing บริเวณเดียวกับที่เกิด Divergence
    • กรณีนี้ RSI ต่ำกว่า 30 บ่งบอกถึงสภาวะ Oversold (ขายมากเกินไป) ควรรอให้ RSI กลับเข้าระดับ 70-30 แล้วค่อย Buy จะชัวร์กว่า
    • ถ้าเอาแบบปลอดภัย ทีมงานเราจะแนะนำให้ตั้ง Pending Order: Buy Stop ไว้เหนือบริเวณ High ล่าสุด ตามรูปภาพเลยครับ (วงกลมสีเทา) เพื่อรอให้ราคากลับตัวของจริง
  • ส่วนการตั้ง TP และ SL สามารถตั้งตามที่สะดวกแต่แนะนำว่าใช้หลักการ Risk/Reward Ratio ประมาณ 2:1 ก้ได้ครับ ซึ่ง Example 1 นี้ก็ถือว่าได้กำไรไปครับ

Example 2: Hidden Divergence

ตัวอย่างการเทรด Hidden Divergence พร้อมคำเตือนเรื่องการตั้ง Pending Order
ตัวอย่างการเทรด Regular Divergence พร้อมจุดเข้า Buy

จากรูปตัวอย่างเกิด Hidden Divergence โดยที่ราคาขัดกับ RSI แต่กราฟราคายังคงไปทิศทางเดิมต่อ ไม่กลับตัวในทันที! แม้จะเป็นระยะสั้นๆ ก่อนราคาจะกลับตัวขึ้นแต่ก็แสดงให้เห็นว่าเทรดเดอร์ไม่ควรรีบเข้าเมื่อเจอสัญญาณ Divergence ในทันที

  • เคสนี้ขอเอาเป็นตัวอย่างให้ดูก็แล้วกันครับ เป็นเคสของ Hidden Divergence สังเกตจากกราฟราคาทำแนวลงส่วน RSI ทำแนวขึ้น หากเป็น Divergence แบบปกติ ราคาก็จะกลับตัวทันที
  • แต่นี่ราคายังไม่กลับตัวแถมยังลงไปต่อ ทำ Lower High ต่ำกว่าเดิม จึงเข้าข่ายเป็น Hidden Divergence
  • ส่วนใหญ่เทรดเดอร์ที่ใจร้อนมักจะพลาดตรงนี้! เมื่อเจอสัญญาณ Divergence ก็รีบเข้าทันที โชคดีที่เคสนี้กราฟพุ่งลงตามเทรนด์ได้ไม่นานก็กลับตัวขึ้น แต่ถ้าเจอแนวโน้มแข็งๆ อาจจะไม่โชคดีแบบนี้ก็ได้ครับ

วิดีโอเกี่ยวกับกลยุทธ์เทรดแบบ Divergence

ทีมงานไปเจอคลิปวิดีโอตัวหนึ่งที่เกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดแบบ Hidden Divergence โดยใช้อินดิเคเตอร์ Oscillator อย่าง RSI, MACD, STOCH เป็นต้น มันน่าสนใจตรงที่เทรดเดอร์คนนี้มีวิธีการยังไงในการวิเคราะห์ Divergence จะเหมือนหรือแตกต่างกับในบทความแค่ไหน ลองไปรับชมกันครับ

  • Focus นาทีที่ 00:30 อธิบายว่า Divergence คืออะไร?
  • Focus นาทีที่ 01:36 ความแตกต่างระหว่าง Regular และ Hidden Divergence
  • Focus นาทีที่ 01:45 Oscillator ที่ใช้ในการระบุ Divergence
  • Focus นาทีที่ 02:05 ตัวอย่างการใช้งานจริง

สรุป

เป็นอีกครั้งที่หลักคณิตศาสตร์สามารถเอามาประยุกต์ใช้เป็นอินดิเคเตอร์อย่าง RSI Divergence เพื่อดูสัญญาณที่ขัดกันระหว่างกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ ในการหาจังหวะเข้าเทรดเมื่อกราฟกลับตัว แต่ทั้งนี้ RSI ยังบอกถึงสภาวะ Overbought และ Oversold ที่เราจะมองข้ามไม่ได้ เพราะต้องใช้ในการวิเคราะห์เข้าเทรดด้วยเช่นกัน

อยากฝากเทรดเดอร์ทุกคนไว้ว่าการสังเกต RSI Divergence นั้นเป็นเพียง 1 สัญญาณในการวิเคราะห์จากหลายๆ สัญญาณ ดังนั้นเทรดเดอร์ต้องเข้าใจและมีความรู้ในปัจจัยอื่นๆ เสริมด้วยเพื่อความแม่นยำในการเข้าเทรดครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สารบัญบทความ