ถ้าเลือกลงทุนได้สักอย่างหนึ่งระหว่างการ เทรด forex กับ หุ้น อันไหนดีกว่ากัน ? ถือเป็นคำถามที่ยอดนิยมเป็นอย่างมาก โดยในวันนี้ Thaiforexbroker ก็จะขอมาเปรียบเทียบให้รับชมกันถึงข้อแตกต่างระหว่างการลงทุนทั้งในตลาด หุ้น และ ในตลาด Forex ว่ามีลักษณะการลงทุนเป็นเช่นไร ให้ผลตอบแทนที่มากน้อยแค่ไหนและการลงทุนแบบใดถึงจะเหมาะสมกับเรา รวมไปถึงข้อคำแนะนำและอันตรายต่อการลงทุนในแต่ละรูปแบบอีกด้วยครับ
ฉบับย่อโดย Thaiforexbroker.com
- ฟอเร็กซ์ คือ ตลาดอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเน้นทำกำไรส่วนต่างของราคาเป็นหลัก
- หุ้น หรือ เทรดหุ้น คือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนสิทธิการเป็นเจ้าของกิจการใดกิจการหนึ่งโดยให้ผลตอบแทนกำไร คิดเป็นอัตราส่วนของการลงทุน ลงทุนมากได้กำไรมาก เป็นต้น
- ข้อแตกต่างโดยย่อ คือ เทรด ฟอเร็กซ์ สามารถทำกำไรได้มากกว่า หุ้น เมื่อเทียบกับเงินในปริมาณที่เท่ากันเนื่องจาก ฟอเร็กซ์มีสภาพคล่องและความผันผวนมากกว่าอีกทั้งยังมีเลเวอเรจมาเกี่ยวข้อง แต่ก็มีความเสี่ยงในการขาดทุนสูงมากกว่าด้วยเช่นกันและในกรณีของหุ้นจะมีสินทรัพย์จริงๆมาให้เราถือครองในขณะที่ ฟอเร็กซ์ เป็นเพียงสัญญาการซื้อขายส่วนต่างเท่านั้น
การลงทุนใน Forex คืออะไร ในแบบฉบับย่อ
Forex (Foreign Exchange) หรือ ฟอเร็กซ์ มีคำจำกัดความง่ายๆคือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เรียกสั้นๆบ้านๆว่า คือ ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินนี่แหละครับ หลักการง่ายๆ(ที่เอาจริงๆแล้วไม่ง่าย) ก็คือ อยากให้นึกถึงเรื่องเรียนในสมัยละอ่อนเกี่ยวกับการอ่อนตัวและแข็งตัวของค่าเงิน ซึ่งหากใครไม่รู้ผมขอยกตัวอย่างเป็นสกุลเงิน บาท ดังต่อไปนี้

- เงินบาทอ่อนค่า คือ การที่เราสามารถใช้เงินบาท เท่าเดิม แลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินต่างประเทศได้ ลดลง เช่น 35 บาทแลกเป็นเงินดอลล่าห์ได้ 1 USD
- เงินบาทแข็งค่า คือ การที่เราสามารถใช้เงินบาท เท่าเดิม แลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินต่างประเทศได้ มากขึ้น เช่น 35 บาทแลกเป็นเงินดอลล่าห์ได้ 2 USD
“แล้วมันอย่างไรต่อล่ะ?” คำตอบถือ เมื่อบนโลกนี้มันมีหลักการเช่นนี้มันจึงเกิดเป็นช่องว่างให้เราสามารถทำกำไรส่วนต่างได้ หลักการง่ายๆคือ เราจะซื้อถูกและไปขายแพงธรรมดาๆนี้แหละครับ นั้นหมายถึงเราต้องทำนายว่าเมื่อไรที่เงินบาทจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า เราจะซื้อเมื่อเงินบาทมันแข็งค่าและไปขายเมื่อเงินบาทมันแข็งค่าดังเหตุการณ์ดังตัวอย่างดังต่อไปนี้

- นาย A มีเงินทุนอยู่ที่ 35 บาทไทย ณ ขณะนั้นเกิด เงินบาทแข็งค่า จึงนำไปแลกเป็นสกุลเงินดอลล่าห์มาได้ 2 USD
- ภายหลังเวลาผ่านไปเกิดเหตุการณ์ไม่ขาดฝันทำให้ เงินบาทอ่อนค่า จึงนำไปแลกกลับเป็นเงินบาทไทยได้เท่ากับ 2 x 35 = 42 บาท
- ดังนั้นเท่ากับว่านาย A สามารถทำกำไรจากส่วนต่างนี้ไปได้ถึง 42-35=7 บาทเลยทีเดียว
ดังนั้นนี้จึงเป็นหลักการง่ายๆในของการทำกำไรในตลาด Forex ครับและหากคิดในอีกแง่หนึ่งหากเรามีเงินลงทุนในปริมาณที่มากพอเราก็จะสามารถสร้างส่วนต่างในการทำผลกำไรได้อย่างมหาศาล เพียงแค่แลกเปลี่ยนสกุลเงินเท่านั้นเอง
…. เพียงแต่ว่าปัจจุบันเราคงไม่มีใครไปที่ธนาคารเพื่อนำเงินไปแลกเปลี่ยนที่นั่นหรอกใช่ไหมครับ เพราะว่ากว่าเราจะไปถึงธนาคาร ณ ตอนนั้นราคาที่เราต้องการจะซื้ออาจจะขยับไปอีกราคาแล้วก็เป็นได้และยังไม่รวมกับค่าธรรมเนียมและบริการต่างๆอีกด้วย เพราะเหตุนี้การซื้อขายผ่านทางโบรกเกอร์ Forex ถึงได้สะดวกสบายมากกว่าเป็นไหนๆ
แต่สิ่งสำคัญถัดมาที่ต้องโฟกัสเลยก็คือ Forex ไม่ได้มีการซื้อขายสกุลเงินจริงๆหรอกครับ เพียงแต่มันเป็นการซื้อขายแบบ CFD หรือหมายถึง สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง หมายความว่าสิ่งที่คุณต้องโฟกัสเพียงอย่างเดียวคือกำไรที่ได้จากส่วนต่างเพียงเท่านั้นและเนื่องจากในกณีที่มันเป็นการเกร็งกำไรของคู่เงิน นั่นหมายถึงมันจะต้องมีการเปรียบเทียบกันระหว่างสองสกุลเงิน ดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Forex สามารถที่จะเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลงได้

โดยประเด็นถัดมาในเมื่อมันเป็นการเทรดแบบ CFD จึงทำให้มันมีความพิเศษกว่าการเทรดในประเภทอื่นเลยก็คือ สามารถใช้งาน Leverage หรือ ความสามารถในการเพิ่มมูลค่าให้กับเงินลงทุนของตัวเองให้มีมูลค่าที่มากขึ้นและมีโอกาสในการกำไรได้สูงมากขึ้นเลยทีเดียวครับ…แต่อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังในการใช้ Leverage ให้ดีเพราะมันก็อาจจะทำให้เราหมดเนื้อหมดตัวได้เลยเช่นกัน ทั้งนี้นอกจากจะมีข้อดีทาง Leverage แล้วยังรวมไปถึง Forex นั้นสามารถที่จะทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ตลอด 24 ชม. เลยทีเดียว รวมไปถึงมีสภาพคล่องที่สูงเป็นอย่างมากเนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายโดยประมาณอยู่ที่ราวๆ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวันเลยนั่นเอง
ตัวอย่างวิดีโอ : What Is Forex?
อ้างอิงจาก : JayPelle
คำอธิบายเพิ่มเติม : วิดีโอนี้จะเป็นตัวอย่างในการอธิบายการลงทุนในตลาด Forex ผ่านภาพวาดการ์ตูนให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น
Forex คืออะไร: รู้จักกับ Forex ฉบับสมบูรณ์การลงทุนในหุ้น คืออะไร ในแบบฉบับย่อ
ตราสารทุน หรือ “หุ้น” คือ สิทธิการเป็นเจ้าของกิจการ หรือ สิ่งที่กิจการหรือธุรกิจใดๆออกให้กับผู้ลงทุนเพื่อแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าโดยจะแบ่งผลประโยชน์ตามสัดส่วนที่ถือครองหรือได้ทำการลงทุนไว้ ขอยกตัวอย่างสำหรับการลงทุนในหุ้นทั่วๆไป เช่น นาย A ต้องการที่เปิดกิจการสำหรับการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง และ กิจการร้านเบอเกอร์ โดยที่กิจการทั้งสองอย่างนาย A มีเงินลงทุนไม่เพียงพอจึงยื่นข้อเสนอให้นาย B มีส่วนร่วมในการลงทุนด้วย

โดยนาย A ได้ยื่นข้อเสนอให้แก่นาย B ร่วมลงทุนกิจการสำหรับการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง 30 % และ ร้านเบอเกอร์ 40 % ตามลำดับ ดังนั้นจึงหมายความว่านาย B มีสัดส่วนของหุ้นของทั้งสองร้านอยู่ที่ 40% และ 30% เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 1-2 ปี ธุรกิจทั้งสองเกิดการเติบโตขึ้นทำให้บริษัทของ สำหรับการซื้อขายวัสดุก่อสร้างมีกำไรอยู่ที่ 3 ล้านบาทและร้านเบอร์เกอร์ทำกำไรได้ 1 ล้านบาท กำไรดังกล่าวจะต้องถูกแบ่งตามอัตราส่วนหุ้นที่ลงทุนไว้ดังนี้

- นาย A มีหุ้นสำหรับการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง 70 % จึงได้กำไรไป 7= 2.1ล้านบาท ในขณะเดียวกัน มีหุ้นสำหรับร้านเบอร์เกอร์ 60% จึงได้กำไรไป 1×0.6=0.6ล้านบาท(หกแสนบาท)
- นาย B มีหุ้นสำหรับการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง 30 % จึงได้กำไรไป 3×3= 0.9ล้านบาท(เก้าแสนบาท) ในขณะเดียวกัน มีหุ้นสำหรับร้านเบอร์เกอร์ 40% จึงได้กำไรไป 1×0.4=0.4ล้านบาท(สี่แสนบาท)
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการลงทุนกับธุรกิจในหุ้นจะให้ผลตอบแทนตามสัดส่วนที่ลงทุนไป แต่ตัวอย่างดังกล่าวเป็นตัวอย่างสำหรับการลงทุนหุ้นในธุรกิจเล็กๆเท่านั้น โดยความเป็นจริงเราสามารถนำเงินไปลงทุนกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ด้วยซึ่งเป็นการซื้อขายหุ้นกันผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ โดยความเรียบง่ายของการลงทุนในลักษณะนี้เป็นการลงทุนที่สะดวกกว่าลงทุนกับธุรกิจในขนาดเล็กเป็นอย่างมาก เนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่หรือลงแรงในการก่อร่างสร้างตัวเพื่อที่จะประกอบธุรกิจขึ้นมา
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ดังตัวอย่างนาย A ลงทุนไปกับการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง นอกจากจะต้องลงทุนแล้วจะต้องลงแรงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการหาที่ตั้งทำเล หากลุ่มลูกค้า จัดหาและดูแลพนักงานซึ่งมันยุ่งยากกว่าเป็นไหนๆและมันจะดีกว่าไหมว่าเราจะนำเงินไปลงทุนกับบริษัทก่อสร้างใหญ่ๆในตลาดหุ้น เพราะเมื่อมีกำไรเกิดขึ้นมาเราก็จะได้เงินลงทุนในอัตราส่วนที่เราลงทุนไปด้วยนั้นเองครับ

แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความเพียงแค่ลงเงินแล้วก็จบเลยได้กำไรเลยนะครับ ธุรกิจก็ยังเป็นธุรกิจอยู่วันยังค่ำ มีกำไรมันก้ต้องมีขาดทุนเป็นธรรมดาครับ ซึ่งหมายถึงเมื่อธุรกิจมีการขาดทุนขึ้นมาจึงทำให้มูลค่าหุ้นที่เคยคือไว้อย่างหุ้นละ 10 บาท เหลือหุ้นละ 9 บาทเป็นต้น นั้นจึงทำให้เราขาดทุนไปแล้ว 1 บาทนั้นเอง…พอมาถึงจุดนี้สิ่งที่สังเกตเห็นได้เหมือนกันก็คือ “การทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น” ซึ่งคล้ายกันกับการเทรด Forex เลยใช่ไหมครับ เพียงแต่ในสตลาดหุ้นเราสามารถที่จะเล่นได้เพียงขาเดียวคือ ขาขึ้น และโอกาสที่จะทำกำไรได้มีเพียงแค่ “ซื้อถูกขายแพง” เพียงเท่านั้น
ทั้งนี้นั้นหมายถึงการเล่นหุ้นขั้นพื้นฐานนะครับและไม่ได้พูดกล่าวถึงการลงทุนหุ้นในประเภทอื่นๆด้วยเช่น DW เป็นต้น และ กำไรนอกเหนือจากการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นแล้วในบางธุรกิจก็จะมีเงินปันผลให้ด้วยนะครับ ผลตอบแทนส่วนนี้จะเป็นส่วนแบ่งจากกำไรของบริษัทที่ทำได้ โดยที่บริษัทจะจ่ายหรือไม่จ่ายก็ได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทเอง ทั้งนี้อาจจะต้องมองในภาพรวมครับเพราะถึงแม้จะไม่ได้จ่ายเงินปันผล แต่ถ้านำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาบริษัทต่อนั้นก็ยังเป็นผลประโยชน์ของเราเองด้วยเพราะอาจจะทำให้ส่วนต่างของราคามีมากขึ้นอันเนื่องจากการพัฒนาของบริษัทก็เป็นได้ครับ

เพราะเหตุผลดังกล่าวจึงกล้าพูดได้ว่าการลงทุนใน หุ้น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเกร็งกำไรจากการวิเคราห์สถานการณ์ของธุรกิจนั้นๆหรือจะเป็นการลงทุนแบบ DCA ต่างก็ให้กำไรเหมือนกันอีกทั้งยังให้สินทรัพย์กับเรามาไว้ให้อุ่นใจ โดยถึงแม้ว่าหุ้นเราจะตกไปเยอะก็ตามแต่เราก็ยังสามารถถือได้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าธุรกิจนั้นจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้นในตลาดหุ้นอาจจะมีสภาพคล่องที่ต่ำกว่า Forex อันเนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายนั้นมีเพียง 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวันโดยถ้าเทียบกับ Forex ที่มีปริมาณการซื้อขายประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวันนั้นถือว่าต่างกันพอสมควร รวมไปถึงตลาดยังเปิดให้มีการซื้อขายได้เพียง 4-8 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังไม่มีการให้บริการทางด้านเลเวอเรจ จึงทำให้สรุปได้ว่า หุ้นนั้นมีความปลอดภัยที่มากกว่าแต่ก็แลกมากับความสามารถในการทำกำไรได้น้อยกว่าเช่นเดียวกันครับ
การเปรียบเทียบระหว่างการลงทุนใน Forex และ หุ้น
เวลาเปิด-ปิดตลาด
การลงทุนในตลาด Forex และตลาดหุ้นนั้นต่างก็มีเวลาเปิดปิดที่แตกต่างกันครับเนื่องจากว่าเป็นตลาดคนละประเภทและเป็นการลงทุนกันคนละอย่าง ผมจึงทำการสรุปตารางเวลาเปิด-ปิดตลาดของทั้ง 2 ได้ดังนี้
เวลาเปิด-ปิดในตลาด Forex
ตลาด Forex (Foreign Exchange) เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถเทรด Forex ทุกคู่เงินได้ตลอดเวลาเนื่องจากว่าคู่เงินในตลาด Forex แต่ละตัวจะมีเวลเปิดปิดแตกต่างกันไป ดังนั้นหากเราสามารถที่จะรู้เวลาเปิดปิดของคู่เงินนั้นๆได้ก็จะสามารถนำมาปรับใช้กลับกลยุทธ์ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถสรุปเวลาเปิด-ปิดตลาดตลาด Forex เป็นเวลาไทยได้ดังนี้

- อเมริกา (USD) เปิด 19.00 – 03.00 น.
- ลอนดอน (GBP) เปิด 15.00 – 23.00 น.
- ออสเตรเลีย (AUD) เปิด 05.00 – 13.00 น.
- โตเกียว ญี่ปุน (JPY) เปิด 06.00 – 14.00 น.
- ฝรั่งเศส (CHF) เปิด 13.00 – 21.00 น.
- ยุโรป (EUR) เปิด 14.00 – 23.00 น.
- แคนาดา (CAD) เปิด 19.00 – 03.00 น.
เวลาเปิด-ปิดในตลาด หุ้น
เวลาเปิด-ปิดตลาดตลาด หุ้น นั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อยครับโดยที่ ตลาดหุ้นไทยจะแบ่งช่วงเวลาการซื้อขายหุ้นออกเป็น 2 ช่วง คือการซื้อขายภาคเช้า และการซื้อขายภาคบ่าย และมีเวลาทำการตั้งแต่ จันทร์ ถึง ศุกร์ เวลาตั้งแต่ 9.30-17.00น. เท่านั้น อีกทั้งยังประกอบไปด้วยช่วงเวลาอื่นๆอีกดังหัวข้อต่อไปนี้
- ช่วงก่อนเปิด/ปิดตลาด (pre-open/ pre-close) คือช่วงเวลาที่จะสามารถส่งคำสั่งซื้อก่อนที่จะมีการเปิดตลาดการซื้อขายจริง โดยในช่วงเวลานี้ระบบจะทำการรวบรวมคำสั่งซื้อเหล่านี้มาคำนวนเป็นราคาเปิดของตลาด ณ ช่วงเวลานั้น
- ช่วง T1 , T2 และ T3 คือช่วงสุ่มเวลา จะใช้ช่วงเวลา 5 นาทีก่อนเปิดหรือปิดตลาด โดยระบบจะทำการสุ่มเวลาเปิดปิดของตลาดในช่วงเวลานี้เพื่อป้องกันการบิดเบือนราคา
- ช่วงเวลาตลาดเปิด คือ ช่วงเวลาที่เปิดให้เทรดเดอร์ทำการซื้อขายหุ้นได้ตามปกติ

โดยที่รายละเอียดของช่วงเวลาต่างๆมีดังนี้
ช่วงเวลา | เวลาซื้อ-ขาย |
ช่วงก่อนเปิดทำการซื้อขายช่วงเช้า (Pre-open Session I) | 09:30 – 10:00 น. |
ช่วงทำการซื้อขายช่วงเช้า (Trading Session I หรือ T1) | 10:00 – 12:30 น. |
ช่วงก่อนเปิดทำการซื้อขายช่วงบ่าย (Pre-open Session II) | 13:30 – 14:00 น. |
ช่วงทำการซื้อขายช่วงบ่าย (Trading Session II หรือ T2) | 14:00 – 16:30 น. |
ช่วงก่อนปิดทำการเพื่อคำนวณหาราคาปิด (Pre-close) | 16:30 น. – T3 |
ช่วงนอกเวลาทำการ (Off-hour) | T3 – 17:00 น. |
ปิดทำการซื้อขาย | 17:00 น. |
หมายเหตุ : เวลาดังกล่าวเป็นเวลาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้ทำการอัพเดทปรับเปลี่ยนช่วงเวลาซื้อขายเฉพาะช่วงบ่าย เป็นเวลาล่าสุดแล้ว
ความเสี่ยงและผลตอบแทน
ในด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนนี้หลายๆท่านคงสามารถพิจารณาและอนุมานได้จากหัวข้อที่ผ่านมาแล้วโดยผมจะขอสรุปแบบง่ายๆให้ฟังได้ดังนี้
การเทรดในตลาด Forex สามารถที่จะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมหาศาลจากสัญญาการซื้อขายส่วนต่างของสกุลเงิน อันเนื่องมาจาก Forex มีสภาพคล่องที่สูงมากรวมไปถึงมีการนำ Leverage มาใช้งานทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าของเงินทุนให้เราสามารถลงทุนด้วยเงินทุนเพียงไม่มาก แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้มากเช่นกันและยังมีโอกาสทำให้เงินฝากหรือเงินลงทุนหมดไปได้โดยไม่มีแม้แต่สินทรัพย์มาถือครองไว้เลย
การเทรดในตลาด หุ้น สามารถที่จะทำกำไรได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินลงทุนที่เรามีและผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นตัวนั้นๆและถ้าหากเทียบกับ Forex แล้วถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก นอกจากจะสามารถถือหุ้นนั้นไว้ได้ในระยะยาวแล้วยังมีโอกาสที่จะเฉลี่ยไปลงทุนกับหุ้นประเภทอื่นๆได้อีกด้วย และยังรวมไปถึงหุ้นนั้นมีความผันผวนที่น้อยกว่า Forex มากจึงทำให้โอกาสที่จะขาดทุนนั้นเกิดขึ้นได้ยากกว่า อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับการฝากเงินที่จะให้ผลตอบแทนในระยะยาวมากกว่าการฝากธนาคารอย่างแน่นอน…ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกหุ้นด้วยนะครับ
เครื่องมือที่ใช้งานในการซื้อขาย หรือ เทรด
เนื่องจาก Forex และ หุ้น นั้นต่างก็เป็นการลงทุนที่จะต้องทำการซื้อขายผ่านตัวกลาง ดังนั้นการที่จะทำการเทรดได้จึงจำเป็นจะต้องทำการลงทะเบียนสมัครใช้งานกับโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่หุ้นสามารถทำการลงทุนเบียนผ่านโบรกเกอร์ภายในประเทศไทยได้เลย เช่น ธนาคาร SCB หรือ Finansia เป็นต้น โดยปกติแล้วคนไทยมักนิยมใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า streaming เพื่อทำการวิเคราห์กราฟและทำการซื้อขายหุ้นนั่นเองครับ

ในส่วนของ Forex ก็เช่นเดียวกันครับจะซื้อขายสินทรัพย์ได้ก็ต้องทำการลงทะเบียนผ่านตัวกลางอย่างโบรกเกอร์เหมือนกัน เช่น Exness หรือ XM เป็นต้น….เพียงแต่จะต้องเป็นโบรกเกอร์ที่ทำการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายในต่างประเทศนะครับ เพราะในประเทศไทยปัจจุบันยังไม่มีการอนุญาติให้มีการจัดตั้งโบรกเกอร์ Forex ที่ไทยได้นั้นเองครับ…แต่สามารถเทรดได้ตามปกตินะครับ จากนั้นก็สามารถทำการซื้อขายผ่านโปรแกรมยอดนิยมอย่าง MT4 และ MT5 ได้เลยมีให้บริการทั้งในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกันครับ
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน
การลงทุนไม่ว่าจะเลือกลงทุนในตลาดForexก็ดีหรือตลาดหุ้นก็ดีจะมีสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องลงทุนเหมือนๆกัน คือ “การลงทุนในความรู้” เพราะไม่ว่าคุณจะลงทุนในรูปแบบใดก็ตามหากปราศจากความรู้แล้วนั้นก็ไม่ต่างกับการเอาเงินไปเผาไฟเล่น ประกอบกับตลาด Forex ที่สามารถปรับ Leverage ได้จึงง่ายต่อการชักจูง เพราะถ้าหากเราไม่ศึกษาความรู้ให้มากพอก็ไม่ต่างอะไรจากการพนันดีๆนี่แหละครับ ดังนั้นแล้วการจะเข้าสู่ตลาดใดไม่ว่าจะ Forex หรือ หุ้น ควรจะมีความรู้ที่เป็นเกราะป้องกันตัวเราเสมอ ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเองนี่แหละครับจะตอบได้ว่าการลงทุนแบบใดถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด
สรุป
ทุกการลงทุนนั้นย่อมมีความเสี่ยงเสมอครับไม่ว่าจะเป็นการลงทุนรูปแบบใดก็ตาม เทรด forex กับ หุ้น อันไหนดีกว่ากัน นั้นไม่สามารถตอบได้ครับเป็น เพราะแต่ละคนย่อมมีความสามารถและความชอบของแต่ละคนที่แตกต่างกัน โดยที่การลงทุนกับ Forex นั้นจะเน้นไปที่การลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงกว่าผลตอบแทนสูงกว่าโดยที่สามารถใช้เงินทุนเพียงไม่มาก กลับกัน หุ้นกลับให้ผลตอบแทนตามจำนวนเงินที่ลงทุนไปประกอบกับอัตราเฉลี่ยของผลตอบแทนรายปี ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าแถมยังได้สินทรัพย์มาถือครองไว้ให้มีความอุ่นใจได้อีกด้วย
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Foreign_exchange_market
https://www.forbes.com/advisor/investing/what-is-forex-trading/
https://www.set.or.th/en/market/information/trading-procedure/trade-in-set
https://cleartax.in/glossary/stock-trading/