พื้นฐานเทรดชาร์ตเปล่า ตอน ดูแนวรับ-แนวต้านด้วยเรื่องออเดอร์

พื้นฐานเทรดชาร์ตเปล่า

พื้นฐานเทรดชาร์ตเปล่า ตอน ดูแนวรับ-แนวต้านด้วยเรื่องออเดอร์

               การมองหาแนวรับแนวต้าน ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานของการเทรด การเข้าเทรดก็จะหาโอกาสว่าเกิดมี price action เกิดตรงที่นี้หรือเปล่า หรือถ้าสำหรับเทรดเดอร์ที่ถือ positions ก็จะออกก่อนถึงพื้นที่ตรงนี้ด้วย รูปแบบการเทรดก็เลยเกิดขึ้นตามที่ราคาตอบโต้บอกที่แนวรับแนวต้านพวกนี้ ก็มีการเทรดแบบราคาเด้งหรือ pullback หรือเป็นการเทรด breakout แล้วแต่เทรดเดอร์ถนัด

               ต้องมองเรื่องออเดอร์ก่อนค่อยจะเข้าใจเรื่องแนวรับแนวต้านได้ง่าย (แนวรับแนวต้านจะใช้เป็นคำกลางๆ รวมหมด  support/resistance, demand/supply, pivots)  ราคาวิ่งไปทางใดทางหนึ่งได้ เมื่อออเดอร์ฝั่งตรงข้ามไม่พอที่ราคานั้นๆ เลยต้องวิ่งไปหา liquidity ที่ราคาต่อไปเพื่อจะ match-and-fill ให้เกิดเป็น trading transaction ขึ้น ดังนั้นเมื่อราคาวิ่งไปแล้วหยุด แสดงว่ามีออเดอร์ตรงข้ามมากเกินที่ราคาตลาดวิ่งไปที่ราคานั้นๆ และถ้ามี market orders ตรงข้ามนั้นก็จะทำให้ราคาวิ่งเปลี่ยนทาง

               การทำความเข้าใจเรื่องแนวรับแนวต้านมี 2 อย่างหลักๆ ที่ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ ออเดอร์ที่เกิดว่ามาจากไหน และการตัดสินใจของเทรดเดอร์จากร่องรอยเก่าที่เกิดขึ้น ทั้งจากที่รอเข้าเทรดและต้องการจะออกจากการเทรด  ยกตัวอย่างที่เลข 2 3 และ 5 เริ่มที่เลข 2 ก่อนดูว่าทำไมราคาเด้งหรือ rejection ตรงนี้ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องออเดอร์ทำงานก็ดูอาการที่เกิดขึ้นคือราคาเกิด rejection ตรงนี้แสดงว่า sell orders เกิน buy orders เลยทำให้ราคาลงมา มาอธิบายด้วยหลักการออเดอร์จะรู้ว่าทำไมราคาเปิด พื้นที่เลข 1 ที่มี trading transaction เกิดขึ้นพอราคาดันขึ้นไปแสดงว่าเทรดเดอร์ที่เปิด short positions ตรงนี้กลายเป็น trapped traders หมดทันที บางเทรดเดอร์ก็ใช้ stop loss ก็จะกำหนดเหนือ high ที่ใกล้สุดขึ้นไปหน่อย เมื่อ transactions เกิดขึ้นที่ไหนทำให้รู้ว่ามีการเปิดเทรดที่ไหน และวิธีการเทรดแบบนี้ขาใหญ่ก็รู้ว่าถ้าเปิดเทรดแบบนี้ก็จะตั้ง stop loss ตรงไหน พอราคาไปแตะ stop loss ของเทรดเดอร์ที่เปิด short positions เลยทำให้แถวนั้นเกิด buy market orders ดูที่เลข 2 ที่จะอธิบายว่าแนวรับแนวต้านเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้อแรก เทรดเดอร์ที่เปิด long positions ด้านล่าง เมื่อราคาเบรคขึ้นไปแล้วแตะ stop loss ก็จะเป็นได้เงื่อนไขดีเพราะเมื่อปิด long position ที่เปิดด้านล่างก็เท่ากับเปิด sell market orders เมื่อราคาแตะ stop  loss ขึ้นก็จะทำให้เกิด buy market orders ก็จะเกิดขึ้นที่เดียวกันพอดี ข้อต่อมาคือ เมื่อหาไม่เจอจุดอ้างอิง เทรดเดอร์ก็จะนิยมตัวเลขที่จำง่ายๆ  (round numbers) เช่น ราคาที่ลงท้ายด้วย 00 50 20 เป็นต้น  ก็ตัดสินใจปิดก่อน 1.13500  การตัดสินใจปิดกำไร กรณีนี้เท่ากับเปิด sell ที่พื้นที่ตรงนั้นด้วย และพอเทรดเดอร์ที่รอเข้าเห็นราคาหยุดเพราะ buy market orders ที่ดันราคาขึ้นมาทั้งจากการเปิดเทรดและ stop loss โดนซึมซับไป เพราะราคาไม่สามารถเกินไปได้ แสดงว่าไม่มีเทรดเดอร์ที่สนใจจะเข้าเทรดหรือออกจากการเทรดอีก ไม่งั้น buy market orders ก็จะเกินและไปต่อได้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการเทรดคือ ต้องเทรดสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งที่เห็นเปิดเผยว่าอะไรเกิดขึ้นจริงๆ กับตลาดเพราะการเข้าเทรดหรือจัดการการเทรดจริง

               ดังนั้นจากจุดที่เลข 2 ที่ทำให้ราคาลงมาเพราะ sell orders เกิน buy orders ลงมาเรื่อยๆ จนถึงที่ราคาที่เลข 3 เลข นี้ถือว่าเป็น support หรือแนวรับ หลักการกำหนดแนวรับหรือแนวต้านคือ การกำหนดที่ที่มีราคาเคยมาแตะตรงนั้นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพราะราคาต้องเคยมาแตะก่อนค่อยกำหนดได้ว่าเป็นแนวรับหรือแตวต้าน พื้นที่เลข 2 ที่เป็นแนวรับเพราะเป็นพื้นที่เดียวกันกับเลข 1 ที่ราคาได้เบรคขึ้นไป พื้นที่เลข 3 เป็นแนวต้านที่ได้กลายมาเป็นแนวรับ หรือเรียกว่า flip level สำคัญเพราะมีข้อมูลหลายๆ อย่างที่ทำให้เกิดการเข้าเทรดหรือการออกเทรด

ข้อแรก เทรดเดอร์ที่เปิดเทรดสวนลงมาที่เลข 2 เห็นว่าพื้นที่นี้ราคาเพิ่งชนะมา จะมีเทรดเดอร์อยากเทรดอีก โดยเฉพาะ trend traders เพราะมองว่าราคาเบรคขึ้นบน ก็จะหันมาเทรดตามเทรน ก็ตัดสินใจเข้าเทรดพื้นที่ตรงนี้

ข้อสอง เทรดเดอร์ที่เห็นราคาได้เบรคพื้นที่เลข 1 ถือว่าเป็น breakout ก็จะหาโอกาสเทรดอีกรอบเมื่อราคากลับมาพื้นที่ตรงนั้นอีกรอบ

ข้อสาม  เทรดเดอร์ที่เปิด short positions กรอบเลข 1 ตอนที่ราคาขึ้นไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเทรดเดอร์ที่ได้กำหนด stop loss ตอนราคาขึ้นไปที่เลข 2 พอราคากลับมา ถ้า price action เปิดเผยเช่น เป็นราคามา rejection ตรงนี้อีกก็จะหันมาออกเป็นหลักเพราะไม่อยากติดลบอีก

ทั้งข้อ 1 2 และ 3 อาจเป็นรูปแบบการตั้ง pending เช่น buy limit orders หรือ take profit  หรือแบบ market orders ที่เป็นการเปิดเทรดเอง หรือปิดเองก็ได้  และการตัดสินใจไม่จำเป็นต้องราคาเดียวกัน แต่เป็นพื้นที่เดียวกัน เลยทำให้การมองพื้นที่แนวรับหรือแนวต้านให้มองเป็นพื้นที่ออเดอร์

แนวรับหรือแนวต้าน ไม่ได้เกิดเพราะการอยากเข้าเทรดพื้นที่ตรงนั้นอย่างเดียว สำคัญคือมีการออกจากการเทรดด้วย โดยเฉพาะเทรดเดอร์ที่มี positions ที่ถือรออยู่ตรงนั้น เลยมักทำให้พื้นที่ตรงนั้นๆ กลายมาเป็นจุดสนใจสำหรับเทรดเดอร์ที่รอเข้าเทรดด้วยเพราะ market orders ส่วนหนึ่งมาจากการออกจากตลาดพื้นที่ตรงนั้นด้วย เลยทำให้เกิดแนวรับหรือแนวต้านเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com